ดิ เอราวัณ กรุ๊ป เดินเกมรอรับท่องเที่ยวฟื้น รุกขยายโรงแรมแบรนด์ HOP INN

428
0
Share:

ผู้บริหาร ดิ เอราวัณ กรุ๊ป “เพชร ไกรนุกุล” ประเมินท่องเที่ยวไทยจะฟื้นตัวและจำนวนนักท่องเที่ยวกลับสู่ระดับปกติในปี 2566 เตรียมทุ่มงบ 1 หมื่นล้านบาท เดินหน้าลงทุนตามแผนภายใน 5 ปี เน้นขยายธุรกิจโรงแรมแบรนด์ HOP INN ในประเทศไทยและฟิลิปปินส์ พร้อมฉวยจังหวะศึกษาการเข้าซื้อกิจการโรงแรมในต่างประเทศ

ปี 2564 ยังถือเป็นปีที่ท้าทายของธุรกิจโรงแรม หลังจากที่ได้รับผลกระทบรุนแรงจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ตั้งแต่ต้นปี 2563 ที่ผ่าน จนโรงแรมหลายแห่งจำต้องปรับลดพนักงาน ปรับลดเงินเดือน เพื่อประคองธุรกิจ กระทั่งวิกฤตโควิด-19 เริ่มคลี่คลายในช่วงกลางปีที่ผ่านมา ภาครัฐฯเริ่มผ่อนคลายมาตรการปลดล็อกให้กิจกรรมและกิจการทางเศรษฐกิจเดินหน้าต่อไปได้ ทำให้ธุรกิจโรงแรมเริ่มมีสัญญาณสดใสในไตรมาส 3 ปี 2563 และฟื้นตัวชัดเจนขึ้นในไตรมาส 4 แต่การกลับมาระบาดระลอกใหม่ของโควิด-19 ก็ดับฝันการเดินทางท่องเที่ยวและเฉลิมฉลองช่วงเทศกาลส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่เหลือเพียงการเคาท์ดาวน์ออนไลน์ที่บ้านของตัวเอง

ประเมินการท่องเที่ยวไทยฟื้นตัวสู่ภาวะปกติปี 2566-2567

“เพชร ไกรนุกูล” กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ดิ เอราวัณ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) ฉายภาพธุรกิจโรงแรมในปี 2564 ว่า แม้สถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 จะเริ่มคลี่คลาย จำนวนผู้ติดเชื้อลดลง ทำให้ภาครัฐมีแนวโน้มผ่อนคลายมาตรการมากขึ้น รวมทั้งเริ่มมีการทยอยฉีดวัคซีนป้องกันโควิดกันในหลายประเทศ และในประเทศไทยเองหากเป็นไปตามแผนที่ภาครัฐกำหนดไว้ก็จะสามารถทยอยฉีควัคซีนให้กับประชาชนได้ในไตรมาส 3 ปีนี้ รวมทั้งการเปิดประเทศต้อนรับนักท่องเที่ยวต่างชาติให้กลับเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทยอีกครั้ง ซึ่งคาดว่านักท่องเที่ยวที่จะเดินทางเข้าไทยจะมีภาพชัดเจนมากขึ้นในช่วงไตรมาส 4 ปีนี้ อย่างไรก็ตาม คงต้องใช้เวลาอีก 2-3 ปี จำนวนนักท่องเที่ยวจึงจะกลับสู่ภาวะปกติ นั่นก็คือต้องรอถึงปี 2566-2567 จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติจึงจะกลับมาแตะที่ระดับ 39 ล้านคน และ 40 ล้านคน ตามลำดับ แต่ในมุมกลับกันหากการฉีดวัคซีนในประเทศไม่เป็นไปตามแผนที่กำหนดไว้อาจมีผลกระทบกับธุรกิจได้

“ในมุมมองของเราประเมินว่านักท่องเที่ยวจะกลับมาเท่ากับปี 2561 คงต้องรอปี 2566 หรือ 2567 ตอนนี้คู่ค้าของเราหลายประเทศเริ่มฉีดวัคซีนแล้ว ไทยเองก็มีแผนฉีดในไตรมาส 3 นี้ สิ่งที่เห็นตอนนี้คือ อัตราการเข้าพักของโรงแรมกลุ่ม HOP INN ปรับตัวดีขึ้นมาอยู่ที่ 30-50 % ในช่วงปลายเดือนมกราคมที่ผ่านมา ซึ่งในประเทศไทยถือว่าโรงแรมกลุ่มนี้ได้รับผลกระทบน้อยที่สุด และเป็นกลุ่มที่มีคู่แข่งน้อย อีกทั้งความเสี่ยงต่ำ เพราะราคาค่าบริการไม่สูงมาก แต่มีอัตรากำไรสูง ส่วน HOP INN ในประเทศฟิลิปปินส์ก็ปรับตัวดีขึ้นเช่นกัน ส่วนโรงแรมกลุ่มอื่น ๆ ในประเทศจะดีขึ้นมา 10-15% โดยโรงแรมในกรุงเทพฯจะดีกว่าโรงแรมในต่างจังหวัด”

เดินเกมรุกขยายการลงทุน เปิดแผน 5 ปี ทุ่ม 1 หมื่นล้าน

ในปี 2563 ที่ผ่านมา กลุ่ม ดิ เอราวัณ กรุ๊ป ชะลอแผนขยายการลงทุนในธุรกิจโรงแรมบางส่วน เนื่องจากสถานการณ์ไม่ชัดเจน แต่สำหรับปีนี้ถือเป็นหนังคนละม้วน “เพชร” บอกว่า หากทุกอย่างเป็นไปตามแผนที่ภาครัฐวางไว้ และทั่วโลกเริ่มทยอยฉีดวัคซีนต่อเนื่อง กลุ่ม ดิ เอราวัณ ก็พร้อมจะลงทุน โดยตั้งเป้าหมายใช้เงินลงทุนในช่วง 5  ปี ระหว่างปี 2564 – 2568 ประมาณ 8 พันล้านบาท จนถึง 1 หมื่นล้านบาท เพื่อขยายโรงแรมแบรนด์ HOP INN ในประเทศไทย จำนวน 7  แห่ง และในประเทศฟิลิปปินส์ จำนวน 5 แห่ง ทำให้โรงแรมแบรนด์นี้จะเพิ่มขึ้น 12 แห่ง มีจำนวนห้องเพิ่มขึ้นรวม 1,575 ห้อง ซึ่งเป็นไปตามเป้าหมายของกลุ่มฯที่จะหันไปจับตลาดระดับกลาง-ล่าง รวมทั้งเป้าหมายที่จะเป็นผู้ให้บริการโรงแรมราคาประหยัด ระดับแถวหน้าในเอเชียแปซิฟิก

“เราจะเป็น Budget Hotel ที่ให้บริการโรงแรมแบรนด์ HOT INN กระจายทั่วในเอเชียแปซิฟิก และจะขยายสาขาต่อเนื่อง ซึ่งเวียดนามเป็นหนึ่งในประเทศที่เราสนใจ เพราะในช่วงโควิดแบรนด์นี้ได้รับผลกระทบน้อยมาก แทบไม่หวั่นไหวต่อสถานการณ์ เรามีแผนทั้งลงทุนสร้างเองและซื้อกิจการ โดยการลงทุนโรงแรมขนาดนี้ใช้เงินทุนไม่มาก จำนวนห้องไม่มากแค่ 70-80 ห้อง ถ้าเทียบกับกลุ่ม Luxury Hotel ที่มีจำนวนห้องมากต้องใช้เงินลงทุนเยอะ เวลาเกิดสถานการณ์ก็จะได้รับผลกระทบมากกว่า ตอนนี้เรามี HOP INN ในไทยอยู่แล้ว 46 แห่ง มีเป้าหมายที่จะขยายให้ถึง 100 แห่งในอนาคต ส่วนในฟิลิปปินส์มีอยู่ 5 แห่ง ตลาดกลุ่มนี้ถือว่าใหญ่ ขณะที่ภาคการท่องเที่ยวเติบโตสูง การใช้บริการโรงแรมระดับนี้ค่อนข้างสูง จึงมีความเป็นไปได้ที่เราจะขยายในตลาดฟิลิปปินส์ให้มากขึ้นไปอีก”

ทั้งนี้ กลุ่ม ดิ เอราวัณ เดินหน้าเต็มสูบ ด้วยการประกาศเพิ่มทุนจดทะเบียนกว่า 2.37 พันล้านบาท โดยได้ลดทุนจดทะเบียน 271.1 ล้านบาท จากเดิม 2.78 พันล้านบาท ลงเหลือ 2.51 พันล้านบาท ตัดหุ้นสามัญที่จดทะเบียนไว้แล้วแต่ยังไม่ได้จำหน่ายออก จากนั้นจะเพิ่มทุนจดทะเบียนจำนวน 2.51 พันล้านบาท เป็น 4.89 พันล้านบาท ราคาพาร์ 1 บาท ขายให้กับผู้ถือหุ้นเดิมตามสัดส่วนการถือหุ้นและรองรับการใช้สิทธิซื้อหุ้นสามัญตามใบสำคัญแสดงสิทธิ หรือ วอร์แรน ครั้งที่3 (Erw-w3) ตามสัดส่วนการถือหุ้น

กรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.ดิ เอราวัณ กรุ๊ป ระบุว่า การเพิ่มทุนจะช่วยให้บริษัทแข็งแกร่งมากขึ้น เดินหน้าขยายธุรกิจได้ตามแผนก่อนที่นักท่องเที่ยวจะกลับมาสู่ระดับปกติ โดยปรับแผนหันมาพึ่งพิงกลุ่ม Budget Hotel มากขึ้น จากเดิมทั้งกลุ่มมีแบรนด์ทั้งสิ้น  73 แบรนด์ แต่รายได้หลักพึ่งพิงจากกลุ่ม Luxury จึงต้องวางกลยุทธ์หาแหล่งทุนมารองรับในการขยายแบรนด์ HOP INN ให้เดินหน้าตามแผน

“ในปี 2564 นี้ หากทุกอย่างไม่มีอะไรผิดพลาดเดินหน้าได้ตามแผน ภาพรวมของทั้งกลุ่ม ดิ เอราวัณ กรุ๊ป จะต้องดีกว่าปี 2563 ที่ผ่านมา ซึ่งมีผลการดำเนินงานขาดทุน 1,715 ล้านบาท” เพชร กล่าวทิ้งท้าย

 

Share: