ดิ เอราวัณ กรุ๊ป เดินเกมรอรับท่องเที่ยวฟื้น รุกขยายโรงแรมแบรนด์ HOP INN
ผู้บริหาร ดิ เอราวัณ กรุ๊ป “เพชร ไกรนุกุล” ประเมินท่องเที่ยวไทยจะฟื้นตัวและจำนวนนักท่องเที่ยวกลับสู่ระดับปกติในปี 2566 เตรียมทุ่มงบ 1 หมื่นล้านบาท เดินหน้าลงทุนตามแผนภายใน 5 ปี เน้นขยายธุรกิจโรงแรมแบรนด์ HOP INN ในประเทศไทยและฟิลิปปินส์ พร้อมฉวยจังหวะศึกษาการเข้าซื้อกิจการโรงแรมในต่างประเทศ
ปี 2564 ยังถือเป็นปีที่ท้าทายของธุรกิจโรงแรม หลังจากที่ได้รับผลกระทบรุนแรงจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ตั้งแต่ต้นปี 2563 ที่ผ่าน จนโรงแรมหลายแห่งจำต้องปรับลดพนักงาน ปรับลดเงินเดือน เพื่อประคองธุรกิจ กระทั่งวิกฤตโควิด-19 เริ่มคลี่คลายในช่วงกลางปีที่ผ่านมา ภาครัฐฯเริ่มผ่อนคลายมาตรการปลดล็อกให้กิจกรรมและกิจการทางเศรษฐกิจเดินหน้าต่อไปได้ ทำให้ธุรกิจโรงแรมเริ่มมีสัญญาณสดใสในไตรมาส 3 ปี 2563 และฟื้นตัวชัดเจนขึ้นในไตรมาส 4 แต่การกลับมาระบาดระลอกใหม่ของโควิด-19 ก็ดับฝันการเดินทางท่องเที่ยวและเฉลิมฉลองช่วงเทศกาลส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่เหลือเพียงการเคาท์ดาวน์ออนไลน์ที่บ้านของตัวเอง
ประเมินการท่องเที่ยวไทยฟื้นตัวสู่ภาวะปกติปี 2566-2567
“เพชร ไกรนุกูล” กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ดิ เอราวัณ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) ฉายภาพธุรกิจโรงแรมในปี 2564 ว่า แม้สถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 จะเริ่มคลี่คลาย จำนวนผู้ติดเชื้อลดลง ทำให้ภาครัฐมีแนวโน้มผ่อนคลายมาตรการมากขึ้น รวมทั้งเริ่มมีการทยอยฉีดวัคซีนป้องกันโควิดกันในหลายประเทศ และในประเทศไทยเองหากเป็นไปตามแผนที่ภาครัฐกำหนดไว้ก็จะสามารถทยอยฉีควัคซีนให้กับประชาชนได้ในไตรมาส 3 ปีนี้ รวมทั้งการเปิดประเทศต้อนรับนักท่องเที่ยวต่างชาติให้กลับเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทยอีกครั้ง ซึ่งคาดว่านักท่องเที่ยวที่จะเดินทางเข้าไทยจะมีภาพชัดเจนมากขึ้นในช่วงไตรมาส 4 ปีนี้ อย่างไรก็ตาม คงต้องใช้เวลาอีก 2-3 ปี จำนวนนักท่องเที่ยวจึงจะกลับสู่ภาวะปกติ นั่นก็คือต้องรอถึงปี 2566-2567 จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติจึงจะกลับมาแตะที่ระดับ 39 ล้านคน และ 40 ล้านคน ตามลำดับ แต่ในมุมกลับกันหากการฉีดวัคซีนในประเทศไม่เป็นไปตามแผนที่กำหนดไว้อาจมีผลกระทบกับธุรกิจได้
“ในมุมมองของเราประเมินว่านักท่องเที่ยวจะกลับมาเท่ากับปี 2561 คงต้องรอปี 2566 หรือ 2567 ตอนนี้คู่ค้าของเราหลายประเทศเริ่มฉีดวัคซีนแล้ว ไทยเองก็มีแผนฉีดในไตรมาส 3 นี้ สิ่งที่เห็นตอนนี้คือ อัตราการเข้าพักของโรงแรมกลุ่ม HOP INN ปรับตัวดีขึ้นมาอยู่ที่ 30-50 % ในช่วงปลายเดือนมกราคมที่ผ่านมา ซึ่งในประเทศไทยถือว่าโรงแรมกลุ่มนี้ได้รับผลกระทบน้อยที่สุด และเป็นกลุ่มที่มีคู่แข่งน้อย อีกทั้งความเสี่ยงต่ำ เพราะราคาค่าบริการไม่สูงมาก แต่มีอัตรากำไรสูง ส่วน HOP INN ในประเทศฟิลิปปินส์ก็ปรับตัวดีขึ้นเช่นกัน ส่วนโรงแรมกลุ่มอื่น ๆ ในประเทศจะดีขึ้นมา 10-15% โดยโรงแรมในกรุงเทพฯจะดีกว่าโรงแรมในต่างจังหวัด”
เดินเกมรุกขยายการลงทุน เปิดแผน 5 ปี ทุ่ม 1 หมื่นล้าน
ในปี 2563 ที่ผ่านมา กลุ่ม ดิ เอราวัณ กรุ๊ป ชะลอแผนขยายการลงทุนในธุรกิจโรงแรมบางส่วน เนื่องจากสถานการณ์ไม่ชัดเจน แต่สำหรับปีนี้ถือเป็นหนังคนละม้วน “เพชร” บอกว่า หากทุกอย่างเป็นไปตามแผนที่ภาครัฐวางไว้ และทั่วโลกเริ่มทยอยฉีดวัคซีนต่อเนื่อง กลุ่ม ดิ เอราวัณ ก็พร้อมจะลงทุน โดยตั้งเป้าหมายใช้เงินลงทุนในช่วง 5 ปี ระหว่างปี 2564 – 2568 ประมาณ 8 พันล้านบาท จนถึง 1 หมื่นล้านบาท เพื่อขยายโรงแรมแบรนด์ HOP INN ในประเทศไทย จำนวน 7 แห่ง และในประเทศฟิลิปปินส์ จำนวน 5 แห่ง ทำให้โรงแรมแบรนด์นี้จะเพิ่มขึ้น 12 แห่ง มีจำนวนห้องเพิ่มขึ้นรวม 1,575 ห้อง ซึ่งเป็นไปตามเป้าหมายของกลุ่มฯที่จะหันไปจับตลาดระดับกลาง-ล่าง รวมทั้งเป้าหมายที่จะเป็นผู้ให้บริการโรงแรมราคาประหยัด ระดับแถวหน้าในเอเชียแปซิฟิก
“เราจะเป็น Budget Hotel ที่ให้บริการโรงแรมแบรนด์ HOT INN กระจายทั่วในเอเชียแปซิฟิก และจะขยายสาขาต่อเนื่อง ซึ่งเวียดนามเป็นหนึ่งในประเทศที่เราสนใจ เพราะในช่วงโควิดแบรนด์นี้ได้รับผลกระทบน้อยมาก แทบไม่หวั่นไหวต่อสถานการณ์ เรามีแผนทั้งลงทุนสร้างเองและซื้อกิจการ โดยการลงทุนโรงแรมขนาดนี้ใช้เงินทุนไม่มาก จำนวนห้องไม่มากแค่ 70-80 ห้อง ถ้าเทียบกับกลุ่ม Luxury Hotel ที่มีจำนวนห้องมากต้องใช้เงินลงทุนเยอะ เวลาเกิดสถานการณ์ก็จะได้รับผลกระทบมากกว่า ตอนนี้เรามี HOP INN ในไทยอยู่แล้ว 46 แห่ง มีเป้าหมายที่จะขยายให้ถึง 100 แห่งในอนาคต ส่วนในฟิลิปปินส์มีอยู่ 5 แห่ง ตลาดกลุ่มนี้ถือว่าใหญ่ ขณะที่ภาคการท่องเที่ยวเติบโตสูง การใช้บริการโรงแรมระดับนี้ค่อนข้างสูง จึงมีความเป็นไปได้ที่เราจะขยายในตลาดฟิลิปปินส์ให้มากขึ้นไปอีก”
ทั้งนี้ กลุ่ม ดิ เอราวัณ เดินหน้าเต็มสูบ ด้วยการประกาศเพิ่มทุนจดทะเบียนกว่า 2.37 พันล้านบาท โดยได้ลดทุนจดทะเบียน 271.1 ล้านบาท จากเดิม 2.78 พันล้านบาท ลงเหลือ 2.51 พันล้านบาท ตัดหุ้นสามัญที่จดทะเบียนไว้แล้วแต่ยังไม่ได้จำหน่ายออก จากนั้นจะเพิ่มทุนจดทะเบียนจำนวน 2.51 พันล้านบาท เป็น 4.89 พันล้านบาท ราคาพาร์ 1 บาท ขายให้กับผู้ถือหุ้นเดิมตามสัดส่วนการถือหุ้นและรองรับการใช้สิทธิซื้อหุ้นสามัญตามใบสำคัญแสดงสิทธิ หรือ วอร์แรน ครั้งที่3 (Erw-w3) ตามสัดส่วนการถือหุ้น
กรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.ดิ เอราวัณ กรุ๊ป ระบุว่า การเพิ่มทุนจะช่วยให้บริษัทแข็งแกร่งมากขึ้น เดินหน้าขยายธุรกิจได้ตามแผนก่อนที่นักท่องเที่ยวจะกลับมาสู่ระดับปกติ โดยปรับแผนหันมาพึ่งพิงกลุ่ม Budget Hotel มากขึ้น จากเดิมทั้งกลุ่มมีแบรนด์ทั้งสิ้น 73 แบรนด์ แต่รายได้หลักพึ่งพิงจากกลุ่ม Luxury จึงต้องวางกลยุทธ์หาแหล่งทุนมารองรับในการขยายแบรนด์ HOP INN ให้เดินหน้าตามแผน
“ในปี 2564 นี้ หากทุกอย่างไม่มีอะไรผิดพลาดเดินหน้าได้ตามแผน ภาพรวมของทั้งกลุ่ม ดิ เอราวัณ กรุ๊ป จะต้องดีกว่าปี 2563 ที่ผ่านมา ซึ่งมีผลการดำเนินงานขาดทุน 1,715 ล้านบาท” เพชร กล่าวทิ้งท้าย