นวัตกรรมการจัดการคลังสินค้า ได้รับแรงกระตุ้นจาก ความคาดหวังของผู้บริโภคในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่มีมาตรฐานสูงขึ้น
ความเปลี่ยนแปลงในทุกด้าน ไม่ว่าจะเป็นเทคโนโลยี ธุรกิจระดับโลก และการค้าในอุตสาหกรรมต่างๆ ต้้งแต่การผลิตอาหารไปจนถึงอุตสาหกรรมยานยนต์ที่เกิดขึ้นอย่างไม่หยุดยั้ง ส่งผลให้องค์กรต้องปรับปรุงขั้นตอนการดำเนินงานด้านซัพพลายเชน ลดค่าใช้จ่าย เสริมสภาพคล่องเงินทุนหมุนเวียนที่ต้องใช้ในแต่ละวัน รวมถึงเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน และเร่งสร้างสรรค์นวัตกรรม ซึ่งสิ่งที่กล่าวมานี้เกิดจากแรงกดดันอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ที่ต้องตอบสนองต่อความคาดหวังที่เพิ่มขึ้นของผู้บริโภครุ่นใหม่ ซึ่งเคยชินกับการได้รับประสบการณ์ที่ตรงตามความต้องการเฉพาะตัวของตนและที่ไหนเมื่อไรก็ได้
ความกดดันนี้ค่อยๆ กระจายมายังวงการคลังสินค้า แม้ว่าที่ผ่านมา การเปลี่ยนแปลงต่างๆ ในอุตสาหกรรมนี้ คือ การนำเทคโนโลยีมาใช้อย่างจำกัดเพื่อประสิทธิภาพด้านต่างๆ เช่น ระบบป้ายรหัสสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ (Radio Frequency Identification: RFID) หรือบาร์โค้ด แต่ความเปลี่ยนแปลงที่ใหญ่กว่านี้กำลังจะเกิดขึ้นกับอุตสาหกรรมนี้ สำหรับผู้เพิ่งเริ่มนำเทคโนโลยีมาใช้ IDC รายงานว่า ในปี 2566 งานต่างๆ ในคลังสินค้าจะมีการใช้หุ่นยนต์ และการจัดการด้านต่างๆ ที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูลมากถึง 65% ซึ่งจะเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานได้กว่า 20% และลดเวลาในการประมวลผลคำสั่งลงได้ถึงครึ่งหนึ่ง แม้ว่าการนำเทคโนโลยีมาใช้ปรับปรุงให้คลังสินค้าเป็นระบบอัตโนมัติทั้งหมดอาจจะยังต้องใช้เวลาอีกมาก แต่เทคโนโลยีก็เป็นประโยชน์ต่องานด้านอื่นๆ อีกมากมาย
ระบบคลังสินค้าในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
จากข้อมูลดังกล่าวข้างต้น จึงไม่น่าแปลกใจที่กระบวนการทำงานพื้นฐานของธุรกิจคลังสินค้าในภูมิภาคนี้กำลังเกิดการเปลี่ยนแปลง แม้ว่าที่ผ่านมา งานด้านโลจิสติกส์และระบบคลังสินค้าจะไม่ได้รับการจัดให้มีความสำคัญอันดับต้นๆ ก็ตาม ทั้งนี้ การทำงานแบบดั้งเดิมซึ่งต้องพึ่งพาคนมากกว่าการนำระบบต่างๆ มาใช้ ทำให้องค์กรให้ความสำคัญกับกลยุทธ์การจ้างพนักงานเพิ่ม เพื่อให้พนักงานเหล่านั้นจัดการกับความท้าทายหรือข้อติดขัดต่างๆ ที่เกิดขึ้นในคลังสินค้านั้น
อย่างไรก็ตาม คลังสินค้ายุคใหม่มีจำนวนประเภทของผลิตภัณฑ์เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว และต้องการเวลาในการทำงานตั้งแต่เริ่มต้นจนเสร็จสมบูรณ์ครบวงจรที่สั้นลง ก็กำลังท้าทายรูปแบบการทำงานดังกล่าวข้างต้น
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ธุรกิจยุคใหม่ที่มีความซับซ้อนเพิ่มขึ้น มักทำให้ระบบโลจิสติกส์มีแนวโน้มที่จะเกิดความผิดพลาดมากขึ้นตามไปด้วย และอาจเป็นข้อผิดพลาดที่มีราคาแพงเกินที่จะแก้ไข ปริมาณการจัดส่งสินค้าที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว จนเกินความสามารถของพนักงานที่จะรับมือกับปริมาณงานที่เพิ่มขึ้นได้ ทำให้องค์กรต่างๆ ต่างตื่นตัวกับความจริงที่ว่า ถึงเวลาที่องค์กรจำเป็นต้องแสวงหาทางเลือกอื่นๆ เพื่อให้สามารถตอบสนองได้ทันต่อความต้องการที่เข้ามายังคลังสินค้าต่างๆ ของตนได้
นอกจากนี้ความกดดันที่เกิดจากธุรกรรมอีคอมเมิร์ซบนช่องทางโซเชียลต่างๆ ก็เพิ่มขึ้นเช่นกัน การเพิ่มขึ้นของการซื้อขายผ่านอีคอมเมิร์ซ ทำให้ความต้องการต่างๆ เกิดมาจากลูกค้าโดยตรง ลูกค้าที่คาดหวังว่าจะสามารถเห็นความเป็นไปและสถานะคำสั่งซื้อของตนเองได้ทันที รายละเอียดต่างๆ เช่น เส้นทางการขนส่ง การบรรจุหีบห่อ และการรับประกันว่าได้จัดส่งสินค้าที่ถูกต้องตามคำสั่งซื้อนั้น มีความสำคัญมากอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน และยังต้องมีระบบรองรับความผิดพลาดใดๆ ที่อาจเกิดขึ้น เพื่อแก้ไขให้สิ่งต่างๆ กลับมาถูกต้อง การที่จะประสบความสำเร็จได้นั้น บริษัทต่างๆ ในภูมิภาคนี้ต้องเริ่มใช้แนวคิดและวิธีการใหม่ๆ มิฉะนั้นจะพบว่า การปฏิเสธที่จะเปลี่ยนแปลงเมื่อต้องเผชิญกับความคาดหวังและปริมาณงานที่เปลี่ยนไป จะทำให้ธุรกิจตกอยู่ในฐานะที่เสียเปรียบอย่างมาก
โลจิสติกส์ในฐานะผู้สร้างความแตกต่าง
เมื่อโลจิสติกส์กลายเป็นตัวสร้างความแตกต่างให้ธุรกิจได้ ธุรกิจต่างๆ ควรปรับปรุงประสิทธิภาพการดำเนินงานของระบบคลังสินค้าอย่างไร แนวคิดแบบเดิมประการหนึ่ง คือ การบริหารจัดการคลังสินค้าให้เป็นหน่วยงานเอกเทศและให้รองรับการ “อัปเกรด” ซึ่งแนวทางนี้อาจทำให้เกิดการฝึกอบรมพนักงานได้ดีขึ้น หรือแนวทางการใช้ระบบใหม่สักระบบที่ออกแบบมาเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพให้กับการติดตามด้านโลจิสติกส์ แต่วิธีการนี้มักช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในแนวระนาบ และอาจไม่ได้ผลลัพธ์ตามที่คาดไว้
ตัวอย่างเช่น การเปลี่ยนไปใช้ป้ายรหัสสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ (RFID) แทนบาร์โค้ดโดยตรงนั้น ไม่มีประสิทธิภาพเพียงพอ และส่งผลให้ต้องสแกนสินค้าเองเป็นจำนวนมากเพื่อให้ได้กำไรเพิ่มเพียงเล็กน้อย ในทางกลับกัน การนำ RFID ไปติดไว้ที่บรรจุภัณฑ์ในขั้นตอนจัดเก็บบนแท่นวางสินค้าสำหรับลากเก็บหรือลำเลียง (pallet) ให้เป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการใหม่ จะสามารถเพิ่มความแม่นยำได้โดยใช้แรงงานน้อยที่สุด ในขณะที่การใช้บีคอน (beacons) ซึ่งเป็นเทคโนโลยี IoT ส่งผ่านสัญญาณบลูทูธ เพื่อสนับสนุนระบบการบริหารจัดการทรัพยากรจะช่วยประหยัดเวลาได้อย่างมาก