บ๊อช หวังใช้ AI และเทคโนโลยีการเชื่อมต่อ ปกป้องมนุษย์และสิ่งแวดล้อม

380
0
Share:

ด้วยความมุ่งมั่นในการพัฒนาสุขภาพของผู้คนและปกป้องโลก บ๊อชหวังใช้ AIoT เข้ามาช่วยในการเปิดศักยภาพการใช้ข้อมูล ปัญญาประดิษฐ์ (AI) ไอโอที (internet of things) ให้เกิดประโยชน์แก่มวลมนุษย์และสิ่งแวดล้อม โดยมีโซลูชั่นด้านเทคโนโลยีเป็นตัวช่วย

“เราผนึก AI เข้ากับเทคโนโลยีการเชื่อมต่อ ออกมาเป็น AIoT ที่ช่วยเราพัฒนาประสิทธิภาพการใช้พลังงานและรับมือกับไวรัสโคโรน่า” ดร.ไมเคิล โบลเล่ กรรมการบริหารของบ๊อชกล่าว และว่า AIoT มีศักยภาพอีกมากมาย ซึ่งบ๊อชพร้อมปลดล็อกศักยภาพของเทคโนโลยีนี้ และจะเดินหน้าพัฒนาต่อเนื่องในอนาคต

ทั้งนี้ บ๊อชจะนำเสนอโซลูชั่นอัจฉริยะที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เพื่อสุขภาพ การใช้ชีวิต และเทคโนโลยีการขับเคลื่อนในงานแสดงเทคโนโลยี CES 2021 ที่จัดผ่านระบบออนไลน์

หนึ่งในนวัตกรรมของบ๊อชที่เปิดตัวในงานนี้ คือ เซ็นเซอร์ AI ที่เรียนรู้ได้เอง ครั้งแรกของโลก พร้อมรองรับการนำไปใช้ในอุปกรณ์แวร์เอเบิลและเฮียร์เอเบิล (อุปกรณ์ไอทีสำหรับใส่ในหู) เพื่อติดตามกิจกรรมฟิตเนส เนื่องจาก AI ทำงานด้วยตัวเซ็นเซอร์ (edge AI) จึงไม่จำเป็นต้องมีการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตในช่วงที่ออกกำลังกาย ส่งผลให้ประหยัดพลังงานและรักษาความเป็นส่วนตัวของข้อมูล นอกจากนี้ บ๊อชยังนำเซ็นเซอร์ที่สามารถวัดค่าปัจจัยต่าง ๆ เช่น คุณภาพอากาศและความชื้นสัมพัทธ์มาแสดงอีกด้วย อุปกรณ์เหล่านี้ทำให้สามารถเก็บข้อมูลการกระจุกตัวของละอองลอยในอากาศ ซึ่งสำคัญยิ่งในช่วงที่ต้องรับมือกับไวรัสโคโรน่า นอกจากนี้ กล้องวงจรปิดของบ๊อชยังสามารถช่วยรับมือกับไวรัสได้ โดยการนำเทคโนโลยี AI เข้ามาประยุกต์ใช้ได้หลายด้านตามที่ลูกค้าต้องการ เช่น การวัดค่าอุณหภูมิโดยไม่ต้องสัมผัส ไม่เปิดเผยตัวตน และให้ความแม่นยำสูง มีค่าความเบี่ยงเบนไม่เกินครึ่งองศา

นอกจากนี้ ยังมีโซลูชั่นซอฟต์แวร์สำหรับแพลตฟอร์มเปิดของกล้องวงจรปิด  ผลงานของสตาร์ตอัพของบ๊อช คือ Security and Safety Things ที่สามารถตรวจจับได้ว่าจำนวนคนในร้านสอดคล้องกับเกณฑ์ปฏิบัติในการเฝ้าระวังไวรัสโคโรน่าหรือไม่ แพลตฟอร์มนี้ยังได้รับรางวัล 2021 CES® Innovation Award Honoree นับเป็นหนึ่งในสี่โซลูชั่นของบ๊อชที่โดดเด่นจนได้รับรางวัลอันทรงเกียรติในปีนี้

อีกนวัตกรรมหนึ่งที่เปิดตัวครั้งแรกในโลกที่งานนี้ คือ เครื่องตรวจฮีโมโกลบินเคลื่อนที่ สามารถตรวจภาวะโลหิตจางได้โดยการสแกนนิ้ว อุปกรณ์นี้จึงเหมาะอย่างยิ่งที่จะนำไปใช้ในภูมิภาคที่การแพทย์ยังเข้าถึงได้ไม่ครอบคลุม เครื่องตรวจฮีโมโกลบินนี้ มี AI ทำงานร่วมด้วย จึงสามารถแสดงผลได้อย่างรวดเร็วภายใน 30 วินาที โดยไม่จำเป็นต้องทดสอบในห้องทดลองหรือเจาะเลือด

ตอนนี้ ตัวอย่างที่ดีที่สุดที่จะแสดงให้เห็นว่าเทคโนโลยีของบ๊อชเข้ามาช่วยพัฒนาสุขภาพและคุณภาพชีวิตได้อย่างไร คงจะเป็นชุดตรวจไวรัสโคโรน่าแบบ PCR ซึ่งเป็นการตรวจหาสารพันธุกรรมของไวรัส โดยทำงานบนอุปกรณ์วิเคราะห์ที่เรียกว่า Vivalytic ชุดตรวจนี้ ให้ผลลัพธ์ออกมาได้รวดเร็วมากขึ้น ซึ่งห้องทดลอง สำนักงานแพทย์ บ้านพักคนชรา และโรงพยาบาลต่างๆ สามารถนำไปตรวจ 5 ตัวอย่างพร้อมกัน และได้ผลออกมาใน 39 นาที เป็น “เทคโนโลยีเพื่อชีวิต” อย่างแท้จริง ซึ่งความก้าวหน้าของซอฟต์แวร์ยังช่วยให้สามารถตรวจตัวอย่างที่เป็นบวกออกมาได้ในเวลาไม่ถึง 30 นาที การพัฒนาระบบ Vivalytic นี้ ประกอบไปด้วยอุปกรณ์วิเคราะห์ผลและถาดใส่ตัวอย่าง เป็นผลงานจากความร่วมมือระหว่างฝ่ายวิจัยและวิศวกรรมของบ๊อช หน่วยธุรกิจ Bosch Healthcare Solutions และ Robert Bosch Hospital

“ในปี ค.ศ. 2021 เราจะเดินหน้าต่อไปในการทำให้เทคโนโลยีมีความยั่งยืนมากขึ้น ในช่วงที่มีการแพร่ระบาดของโรคนั้น คนจะใช้เวลาที่บ้านมากขึ้น จะได้ประโยชน์จากการใช้เทคโนโลยีอันชาญฉลาด เพื่อสร้างอนาคตที่ยั่งยืน รวมทั้งมีส่วนช่วยแก้ปัญหาการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศด้วย ขณะเดียวกัน การแพร่ระบาดของโรคได้เร่งกระบวนการเปลี่ยนผ่านสู่สังคมดิจิทัลเร็วขึ้น ซึ่งบ๊อชได้ใช้นวัตกรรมเข้ามาช่วยให้องค์กรสามารถก้าวข้ามอุปสรรค และสร้างโอกาสใหม่ ๆ ในปี ค.ศ. 2021 ด้วย” โจเซฟ ฮง กรรมการผู้จัดการ บ๊อช ประเทศไทย กล่าว

Share: