1. Have a positive mindset on yourself – meaning believing in yourself no one else can limit you, other than yourself. คือ ให้เด็กๆ เชื่อมั่นในตัวเองเพราะไม่มีใครที่จะสามารถหยุดตัวเราได้นอกจากตัวเราเอง
2. Compete with yourself – because competing with others, you are setting limit to your potential. คือ ให้เด็กๆ คิดเสมอว่าให้เราแข่งกับตัวเอง เพื่อให้เราดีขึ้น เก่งขึ้นกว่าเมื่อวาน ซึ่งข้อนี้ให้มุมมองที่ดีมากเพราะตอนนั้น “ครูเบล” เคยคิดที่จะแข่งขันกับคนอื่นจนวันหนึ่งเราสอบได้ที่หนึ่งแล้ว คุณพ่อสอนว่าหากเรายังไปมัวแข่งกับคนอื่น เราก็จะไม่ได้พัฒนาตัวเองต่อ วันนั้นเลยรู้ว่าคู่แข่งเราจริงๆ ไม่ใช่เพื่อนในห้อง แต่เป็นตัวเราเอง เราจะทำอย่างไรให้มีความผิดผลาดน้อยลง อ่านอย่างไรให้เร็วขึ้น จากนั้นครูเบลก็เริ่มแข่งขันกับตัวเอง ให้เราเก่งขึ้นจากเมื่อวาน นั่นคือโอเคแล้ว
3. Setting a RIGHT goal – not too high, not too low หมายถึงการตั้งเป้าหมาย แต่การตั้งเป้าหมายก็เป็นดาบสองคม หากตั้งสูงเกินไปไม่มีทางทำสำเร็จ เราจะเกิดการท้อแท้ แต่หากตั้งเป้าหมายง่ายเกินไป จะทำให้ไม่พยายาม ก็จะไม่ได้ใช้ศักยภาพของตัวเองเท่าที่ควร อย่างไรก็ตาม การตั้งเป้าหมายที่ถูกต้อง คือต้อง “เหมาะ” กับเรา ซึ่งใจความสำคัญเราควรเข้าใจตัวเราเองก่อนว่าถ้าเราตั้งเป้า แล้วเราพยายามทำ เราสามารถทำได้สำเร็จ นั้นถือเป็นเป้าหมายที่ดี และอะไรที่ไม่สอดคล้องกับเป้าหมายเรา ให้ถือว่าอันนั้นเป็นสิ่งที่ไม่เกี่ยวข้องกับเรา
9. Find your right time of learning, some people are better reading in the morning, some people are better reading before bed คนเรามีช่วงเวลาตื่นตัว (Alert) ที่ไม่เหมือนกัน เพื่อนครูเบลบางคนชอบอ่านหนังสือก่อนนอน เพราะเขารู้สึกว่าช่วงที่นอน หนังสือจะค่อยๆ ซึมซับเข้าไป ขณะที่ครูเบลจะชอบอ่านหนังสือตอนเช้าตรู่ เพราะเป็นช่วงที่ Fresh ที่สุด ยังไม่ได้คิดอะไร ดังนั้น หากเราหาจังหวะของร่างกายเจอ จากที่ต้องอ่านหนังสือ 1 ชั่วโมง จะเหลือเพียง 30 นาที โดยทันที
10. Play sport – study after exercise, fasten your learning pace อีกเทคนิคสุดท้าย ที่ครูเบลใช้เป็นประจำคือครูจะอ่านหนังสือหลังออกกำลังกายเสมอๆ อาจจะหลังว่ายน้ำ หรือหลังตีแบต อาบน้ำเสร็จ ก็จะมาอ่านหนังสือเรียนสัก 1 ชั่วโมง และครูจะเลือกวิชาที่ยากที่สุดมาอ่านช่วงนี้ด้วย เพราะช่วงเวลานั้นสมองแล่นได้ดีมากๆ