เอสซีบี ไพรเวท แบงก์กิ้ง มุ่งต่อยอดความมั่งคั่งให้ลูกค้า โชว์ปี 63 สร้างผลตอบแทนเฉลี่ยกว่า 14% 

419
0
Share:

เอสซีบี ไพรเวท แบงก์กิ้ง (SCB PRIVATE BANKING) มุ่งมั่นเป็นผู้นำด้านการให้คำปรึกษาต่อยอดความมั่งคั่งให้ลูกค้า แนะจัดพอร์ตการลงทุนในปีนี้เน้นกระจายความเสี่ยงอย่างเหมาะสม โชว์ผลงานเด่นปี 2563 สร้างผลตอบแทนเฉลี่ยจากการลงทุนสูงถึง 14.90% ในช่วง 1 ปี (1 ม.ค. – 31 ธ.ค. 2563) เปิดลิสต์ 5 กองทุน Mega trends (เมกะ เทรนด์) ยอดนิยมที่ลูกค้าไพรเวทแบงก์กิ้งเลือกลงทุนในปี 2563 ที่ผ่านมา

ดร.เมธินี จงสฤษดิ์หวัง รองผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสายงาน Private Banking ธนาคารไทยพาณิชย์ กล่าวว่า ในปีที่ผ่านมา เป็นที่ทราบกันดีว่าตลาดการเงินการลงทุนทั่วโลกเผชิญความผันผวนอย่างสูงจากสาเหตุของการแพร่ระบาดของ COVID-19 ทางธนาคารได้มีการติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดและให้คำแนะนำอย่างต่อเนื่องแก่ลูกค้าในด้านกลยุทธ์การบริหารและปรับพอร์ตการลงทุน โดยในปี 2564 นี้ SCB PRIVATE BANKING ยังคงมุ่งมั่นที่จะเป็นผู้นำด้านการให้คำปรึกษาเพื่อสร้างความมั่งคั่งให้กับลูกค้า ซึ่งเป็นส่วนสำคัญในการผลักดันธุรกิจไพรเวทแบงก์กิ้ง หนึ่งในธุรกิจหลักที่เป็นยุทธศาสตร์องค์กรที่จะสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืน

“SCB PRIVATE BANKING มีทีมที่ปรึกษาด้านการเงินและการลงทุนส่วนบุคคลระดับมืออาชีพทั้งที่ธนาคารไทยพาณิชย์และบริษัทหลักทรัพย์ไทยพาณิชย์ เพื่อพร้อมให้คำแนะนำด้านการลงทุนที่เหมาะสมกับลูกค้าแต่ละบุคคลโดยเฉพาะ (Personalized Investment Portfolios) สอดคล้องกับความต้องการและระดับความเสี่ยงในการลงทุนของลูกค้าแต่ละท่าน โดยลูกค้าที่สนใจสามารถติดต่อสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้จากที่ปรึกษาการลงทุน (Relationship managers) ของท่าน”

ทั้งนี้ ในปีที่ผ่านมา (1 ม.ค. – 31 ธ.ค. 2563) พอร์ตการลงทุนประเภทความเสี่ยงปานกลาง (Moderate Asset Allocation) สามารถทำผลตอบแทนจากการลงทุนได้ถึง 14.90% ในระยะเวลา 1 ปี (1 ม.ค. – 31 ธ.ค. 2563) โดยนับเป็นอัตราผลตอบแทนที่สูงกว่ากองอื่น ๆ ในการลงทุนประเภทความเสี่ยงปานกลางตามนิยามของ AIMC* โดยค่ากลางของกลุ่มดังกล่าวอยู่ที่ -1.06%** และเมื่อเปรียบเทียบกับการลงทุนหุ้นในประเทศ (SET TRI Index) จะได้รับผลตอบแทนเพียง -5.24% โดยพอร์ตการลงทุนนี้เป็นการลงทุนแบบผสมในผลิตภัณฑ์ทั้งจากบริษัทในเครือธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB Group) และจากบริษัทพันธมิตรรายอื่น ๆ ในรูปแบบของ Open Architecture โดยไทยพาณิชย์ได้ดำเนินนโยบายเรื่อง Open Architecture มาแล้วกว่า 5 ปี เพื่อคัดสรรผลิตภัณฑ์ด้านการลงทุนที่สามารถสร้างผลตอบแทนที่ดีที่สุดให้แก่ลูกค้า

ด้านนายศรชัย สุเนต์ตา CFA กรรมการผู้จัดการ Chief Investment Office บริษัทหลักทรัพย์ ไทยพาณิชย์ จำกัด (SCBS CIO) กล่าวว่า ทีมที่ปรึกษาด้านการเงินการลงทุนส่วนบุคคลจาก Chief Investment Office (SCBS CIO Office) ได้ให้คำแนะนำในการปรับพอร์ตการลงทุนอย่างเหมาะสมภายใต้สภาวะตลาดที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วตลอดช่วงปี 2563 ที่ผ่านมา โดยพอร์ตการลงทุนประเภทความเสี่ยงปานกลางที่าแนะนำ มีการกระจายความเสี่ยงในการลงทุนทั้งกองทุนตราสารหนี้, กองทุนตราสารทุน และกองทุนที่ลงทุนในสินทรัพย์ทางเลือก ทำให้พอร์ตมีความยืดหยุ่นสูงเหมาะกับสภาวะตลาดที่มีความผันผวน ผลิตภัณฑ์ด้านการลงทุนที่สร้างผลตอบแทนได้อย่างโดดเด่นที่ผสมอยู่ในพอร์ตในปีที่ผ่านมาจะเป็นกองทุนตราสารทุน และกองทุนที่ลงทุนในสินทรัพย์ทางเลือก เช่น กองทุน SCBGOLD ที่เน้นลงทุนในทองคำ, กองทุน KFACHINA ที่เน้นลงทุนในหุ้นจีนแผ่นดินใหญ่ (A Shares), กองทุน PRINCIPAL GOPP เน้นลงทุนในหุ้นเติบโตทั่วโลก ในขณะที่กองทุนตราสารหนี้ที่ผสมอยู่ในพอร์ตทำหน้าที่ลดความผันผวนของพอร์ตและสร้างความยืดหยุ่นในการปรับพอร์ตการลงทุน

“สำหรับพอร์ตการลงทุนในปี 2564 ทางไทยพาณิชย์แนะนำให้ลูกค้ามีการจัดพอร์ตการลงทุนที่เน้นกระจายความเสี่ยงอย่างเหมาะสม โดยพอร์ตประเภทความเสี่ยงปานกลาง (Moderate Asset Allocation) แนะนำแบ่งเป็นสัดส่วนหุ้นต่อตราสารหนี้ไว้ในสัดส่วน 60% ต่อ 40% ซึ่งเป็นไปตามทิศทางการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกที่จะทยอยปรับตัวดีขึ้นภายหลังจากการกระจายวัคซีน COVID-19 ให้แก่ประชากรทั่วโลก” นายศรชัย กล่าวเสริม

 

 

Share: