ttb analytics ประเมินต้นทุนการผลิตสินค้าภาพรวมเพิ่ม 5.7%
ทำให้ผู้ประกอบการแบกภาระสูงกว่า 4.16 แสนล้านบาท ฉุดกำไรต่อยอดขายของธุรกิจหด 4.5% พร้อมแนะกลยุทธ์ประคองระดับอัตรากำไรต่อยอดขายให้คงอยู่
นับตั้งแต่ไตรมาสสุดท้ายของปี 2564 ต่อเนื่องจนถึงปัจจุบัน ภาคธุรกิจไทยประสบปัญหากับภาวะต้นทุนที่เพิ่มสูงขึ้น ส่งผลให้แนวโน้มอัตรากำไรของธุรกิจลดลงอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ด้วยเหตุนี้ ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจ ทีทีบี หรือ ttb analytics จึงทำการศึกษาผลกระทบต้นทุนวัตถุดิบที่เพิ่มขึ้นว่าส่งผลต่อต้นทุนการผลิตและอัตรากำไรของแต่ละธุรกิจอย่างไร พร้อมแนะนำเสนอกลยุทธ์ประคองระดับอัตรากำไรให้คงอยู่ ท่ามกลางสถานการณ์ต้นทุนที่เพิ่มขึ้น ดังนี้
ปี 2565 คาดต้นทุนการผลิตปรับเพิ่ม 5.7% ทำให้ธุรกิจไทยแบกรับภาระต้นทุนเพิ่ม 4.16 แสนล้านบาท
ท่ามกลางทิศทางราคาสินค้าโภคภัณฑ์ที่เพิ่มขึ้นจาก (1) ราคาน้ำมันดิบที่ปรับตัวสูงขึ้นจากความกังวลด้านอุปทานจากสถานการณ์ความตึงเครียดสงครามรัสเซีย-ยูเครน (2) ราคาเหล็กปรับตัวสูงขึ้นจากต้นทุนวัตถุดิบและค่าขนส่งที่ปรับสูงขึ้นอันเนื่องมาจากสงครามรัสเซีย-ยูเครน (3) ราคาสินค้าเกษตรเพิ่มขึ้นตามความต้องการที่ฟื้นตัวจากการผ่อนปรนการควบคุมการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ในหลายประเทศ (4) ราคาสินค้าอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้นจากต้นทุนค่าขนส่งและวัตถุดิบการผลิตที่เพิ่มขึ้น (5) ราคาสินค้าอาหารจากสินค้าเกษตรที่ปรับเพิ่มขึ้น
ttb analytics ประเมินว่า ผลกระทบเหล่านี้จะส่งผ่านมาจากต้นทุนการผลิตของผู้ประกอบการในประเทศ ทำให้ดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) ในหมวดสินค้าเหล่านี้ ได้แก่ น้ำมันเชื้อเพลิง เหล็ก เกษตร อุตสาหกรรม และอาหาร คาดว่าในปี 2565 ต้นทุนจะปรับเพิ่มขึ้น 33.1% 5.4% 8.1% 5.0% และ 5.0% ตามลำดับ นอกจากนี้ ยังทำการศึกษาการส่งผ่านต้นทุนวัตถุดิบการผลิตที่เพิ่มขึ้นมายังต้นทุนรวมของธุรกิจ ผ่านการวิเคราะห์โครงสร้างต้นทุนของแต่ละอุตสาหกรรมจากตารางปัจจัยการผลิตและผลผลิต (Input-Output Table) และโครงสร้างต้นทุนของกิจการ (Cost of Goods Sold: COGS) ในแต่ละธุรกิจ จากงบกำไรขาดทุน ผลการวิเคราะห์พบว่า แนวโน้มราคาวัตถุดิบการผลิตในปี 2565 ในหมวดดังกล่าวข้างต้นที่เพิ่มขึ้น จะส่งผลทำให้ต้นทุนการผลิตของธุรกิจไทยในภาพรวมปรับเพิ่มขึ้น 5.7% หรือเพิ่มกว่า 4.16 แสนล้านบาท แบ่งเป็นต้นทุนสินค้าอุตสาหกรรม (35%) รองลงมาเป็น น้ำมันเชื้อเพลิง (28%) สินค้าเกษตร (14%) เหล็ก (8%) และ อาหาร (2%) ตามลำดับ
ต้นทุนปรับเพิ่ม ส่อเค้าให้อัตรากำไรของธุรกิจภาพรวมลดลง 4.5%
ttb analytics ทำการวิเคราะห์ผลกระทบต้นทุนที่เพิ่มขึ้นต่ออัตรากำไรของธุรกิจ ผ่านโครงสร้างงบกำไรขาดทุนของธุรกิจในประเทศไทย พบว่า ในกรณีที่ผู้ประกอบการยังไม่ปรับขึ้นราคาขายสินค้า เมื่อแนวโน้มต้นทุนการผลิต (COGS) เพิ่มขึ้น 5.7% ในปี 2565 จะส่งผลทำให้อัตรากำไรต่อยอดขาย (Gross Profit Margin) ของธุรกิจไทยในภาพรวมลดลง 4.5% โดยแบ่งผลกระทบต้นทุนที่เพิ่มขึ้นต่อกำไรของธุรกิจ ออกเป็น 3 กลุ่ม ดังนี้
• กลุ่มที่ 1 ได้รับผลกระทบมาก (ต้นทุนเพิ่ม 6.0% – 25.8%) ได้แก่ พลังงาน ขนส่งและโลจิสติกส์ ประมง ผู้ผลิตไฟฟ้า เหมืองแร่ เคมีภัณฑ์ โรงสีข้าวและส่งออกข้าว สินค้าเกษตรแปรรูป อาหาร และการเลี้ยงสัตว์ เนื่องจากเป็นกลุ่มธุรกิจที่โครงสร้างต้นทุนของกิจการพึ่งพิงวัตถุดิบน้ำมันเชื้อเพลิงและสินค้าเกษตรที่ปรับเพิ่มขึ้นมาก จึงทำให้ต้นทุนการผลิตเพิ่มสูงขึ้น ส่งผลทำให้อัตรากำไรต่อยอดขายของกลุ่มนี้ ลดลงระหว่าง 5.4% – 16.9%
• กลุ่มที่ 2 ได้รับผลกระทบปานกลาง (ต้นทุนเพิ่ม 4.7% – 5.7%) ได้แก่ เหล็ก วัสดุก่อสร้าง ท่องเที่ยว เฟอร์นิเจอร์ เครื่องดื่ม รับเหมาก่อสร้าง เครื่องจักรและอุปกรณ์ คอมพิวเตอร์และชิ้นส่วน บรรจุภัณฑ์ สินค้าอุปโภคบริโภค ฯลฯ ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มธุรกิจที่มีโครงสร้างต้นทุนพึ่งพิงวัตถุดิบจากสินค้าอุตสาหกรรม เหล็ก และอาหาร เป็นหลัก ส่งผลทำให้อัตรากำไรต่อยอดขายของธุรกิจกลุ่มนี้ ลดลงระหว่าง 3.2% – 4.8%
• กลุ่มที่ 3 ได้รับผลกระทบน้อย (ต้นทุนเพิ่ม 2.9% – 4.3%) ได้แก่ ไอทีและเทเลคอม บริการอสังหาริมทรัพย์ ธุรกิจสุขภาพ ร้านค้าปลีกสินค้าอุปโภค บริการส่วนบุคคล และบริการธุรกิจ เป็นกลุ่มธุรกิจที่มีต้นทุนด้านการผลิตไม่มากนัก เนื่องจากอยู่ในภาคบริการ อย่างไรก็ตามกลุ่มธุรกิจนี้ ยังได้รับผลกระทบทางอ้อมจากต้นทุนราคาน้ำมันเชื้อเพลิง ราคาสินค้าเกษตร และราคาสินค้าอุตสาหกรรมที่เพิ่มขึ้น ทำให้อัตรากำไรต่อยอดขายของธุรกิจกลุ่มนี้ ลดลงระหว่าง 2.1% – 3.0%