ดีลอยท์ชี้ โปรแกรมการแจ้งเบาะแสขององค์กรในเอเชียแปซิฟิกขยายตัว สะท้อนความก้าวหน้าในการสร้างวัฒนธรรมองค์กรที่โปร่งใสและมีจริยธรรม

342
0
Share:

รายงาน Conduct Watch Survey report ล่าสุดของดีลอยท์ พบว่าองค์กรในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกมีการดำเนินโครงการแจ้งเบาะแส (Whistleblowing) มากขึ้น ซึ่งเป็นสัญญาณบ่งชี้ถึงการยอมรับความสำคัญของการแจ้งเบาะแส เน้นย้ำถึงความมุ่งมั่นในการสร้างการเปลี่ยนแปลงทางจริยธรรม โดยส่งเสริมความโปร่งใส ความรับผิดชอบ และวัฒนธรรมองค์กรที่ยึดมั่นในความซื่อสัตย์และการปฏิบัติตามกฎระเบียบ โดยร้อยละ 91 ขององค์กรที่ร่วมตอบแบบสอบถามได้มีการกำหนดนโยบายการแจ้งเบาะแส เพิ่มขึ้นจากร้อยละ 87 ในปี 2566 ผู้ตอบแบบสอบถามยังมีความกังวลเกี่ยวกับนโยบายการแจ้งเบาะแสเพิ่มมากขึ้น โดยองค์กรร้อยละ 66 ระบุว่าเป็นเรื่องสำคัญมาก เทียบกับร้อยละ 58 ในปี 2566

รายงาน Conduct Watch ฉบับที่สองของดีลอยท์ ได้เปิดแผยข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับนโยบายการแจ้งเบาะแสขององค์กรในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก นอกจากนี้ ยังติดตามการพัฒนาของโครงการแจ้งเบาะแส จากการสำรวจครั้งแรกในปี 2566 และนำเสนอความเข้าใจเชิงลึกเกี่ยวกับมุมมองขององค์กรที่มีต่อการแจ้งเบาะแส รายงานนี้เจาะลึกถึงวัตถุประสงค์ของโครงการแจ้งเบาะแสขององค์กร ความพร้อมของช่องทางการรายงานและการสื่อสาร การรักษาความต่อเนื่องของกระบวนการดำเนินงานดังกล่าว รวมถึงวิธีการปกป้องข้อมูล

ผลจากรายงานการสำรวจ Conduct Watch Survey ครั้งที่สอง ชี้ให้เห็นถึงความก้าวหน้าอย่างต่อเนื่อง องค์กรต่าง ๆ มีความตระหนักถึงผลกระทบเชิงบวกที่โครงการแจ้งเบาะแสมีต่อการบริหารความเสี่ยง ซึ่งส่งผลต่อประโยชน์ด้านอื่น ๆ เช่น เพิ่มความโปร่งใสขององค์กร เพิ่มขวัญและกำลังใจของพนักงาน และเพิ่มความเชื่อมั่นให้กับผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย

การที่องค์กรต่าง ๆ ให้ความสำคัญกับการนำนโยบายการแจ้งเบาะแสมาใช้นั้น สะท้อนให้เห็นถึงการพัฒนาของวัฒนธรรมองค์กรที่มุ่งเน้นจริยธรรม ธรรมาภิบาล และความโปร่งใสมากขึ้น เพื่อตอบสนองต่อความคาดหวังที่เพิ่มขึ้นของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียและสภาพแวดล้อมทางธุรกิจที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยุคที่กฎระเบียบต่าง  เข้มงวดมากขึ้น การมีช่องทางในการแจ้งเบาะแสอย่างเปิดเผยและโปร่งใส จะช่วยให้องค์กรสามารถตรวจพบและแก้ไขปัญหาที่อาจเกิดขึ้นได้อย่างทันท่วงที ซึ่งจะส่งผลดีต่อภาพลักษณ์ขององค์กรและสร้างความเชื่อมั่นให้นักลงทุนในระยะยาว อู หยาง ผิง คอนดักท์ วอทช์ ลีดเดอร์ ดีลอยท์ โกลบอล และ เอเชีย แปซิฟิก กล่าว

บริษัทในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกให้ความสำคัญกับนโยบายการแจ้งเบาะแสเพิ่มมากขึ้น

ผู้บริหารระดับสูงมีความรับผิดชอบมากขึ้นในการดำเนินการเกี่ยวกับการแจ้งเบาะแสขององค์กร ซึ่งเป็นสัญญาณที่แสดงถึงการยอมรับความสำคัญของการแจ้งเบาะแสมากขึ้น ในปี 2567 ผู้บริหารระดับสูง ร้อยละ 32 มีบทบาทสำคัญในการดูแลโครงการแจ้งเบาะแสขององค์กร  ซึ่งเพิ่มขึ้นจาก ร้อยละ 11 ในปี 2566 อย่างมีนัยสำคัญ

องค์กรใช้โครงการแจ้งเบาะแสเพื่อส่งเสริมวัฒนธรรมทางจริยธรรมเชิงรุก เพิ่มความโปร่งใสในที่ทำงาน และมุ่งเน้นความซื่อสัตย์ทางการเงิน ระหว่างปี 2566 และ 2567 องค์กรได้ให้ความสำคัญมากขึ้นในการปรับปรุงวัฒนธรรมด้านจริยธรรมและความซื่อสัตย์ (เพิ่มจากร้อยละ 25 เป็น ร้อยละ 26)  การส่งเสริมสภาพแวดล้อมการทำงานที่ดีและโปร่งใส (เพิ่มจากร้อยละ 21 เป็นร้อยละ 23) การมุ่งเน้นการตรวจจับการฉ้อโกงและการทุจริตทางการเงินอื่น  เพิ่มขึ้นจากร้อยละ 23 เป็นร้อยละ 28 ขณะที่การริเริ่มโครงการที่เป็นผลจากกฎหมาย ข้อบังคับ หรือข้อกำหนดของกลุ่ม ลดลงจากร้อยละ 20 เป็นร้อยละ 11  ซึ่งเป็นสัญญาณที่แสดงว่าองค์กรมีแรงจูงใจภายในมากขึ้นในการนำนโยบายการแจ้งเบาะแสมาใช้เพื่อให้แน่ใจว่ามีการกำกับดูแลที่ดี

การแจ้งเบาะแสได้พัฒนาจนกลายเป็นหนึ่งในเครื่องมือที่มีประโยชน์มากที่สุดสำหรับองค์กรในการรักษาผลประโยชน์ของตนและผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเกี่ยวข้องกับปัญหาเกี่ยวกับอาชญากรรมทางการเงินและการปฏิบัติตามกฎระเบียบ ประโยชน์ที่สำคัญที่สุดและผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรมที่สุดของโครงการแจ้งเบาะแสที่องค์กรคาดหวัง คือการตรวจจับและป้องกันการฉ้อโกงในระยะเริ่มต้น ที่ร้อยละ 35 การสร้างสภาพแวดล้อมการทำงานที่ปลอดภัย ร้อยละ 31 และการเพิ่มความเชื่อมั่นของผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย ร้อยละ 20 ซึ่งแสดงให้เห็นว่าองค์กรตระหนักถึงประโยชน์ในวงกว้างของโครงการแจ้งเบาะแสที่แข็งแกร่ง นอกเหนือจากวัตถุประสงค์ดั้งเดิมในการรักษามาตรฐานทางจริยธรรมผ่านการตรวจจับการฉ้อโกงและการทุจริต

องค์กรจำเป็นต้องมีการสื่อสารนโยบายการแจ้งเบาะแสที่ชัดเจนและสม่ำเสมอมากขึ้น

องค์กรจำเป็นต้องมีความพยายามอย่างสม่ำเสมอในการสื่อสารนโยบายการแจ้งเบาะแสของตน รวมถึงให้ความรู้และคำแนะนำที่เพียงพอเกี่ยวกับช่องทางการแจ้งเบาะแส เพื่อให้ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียเข้าใจและสามารถใช้ประโยชน์จากการแจ้งเบาะแสได้อย่างเต็มที่  องค์กรที่ร่วมการสำรวจร้อยละ 44 ระบุว่าไม่ได้ปฏิบัติตามกรอบเวลาที่เฉพาะเจาะจงสำหรับการสื่อสารนโยบายการแจ้งเบาะแสของตนให้กับผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย ขณะที่องค์กรน้อยกว่าหนึ่งในสี่ หรือ ร้อยละ 24 มีการการสื่อสารเกี่ยวกับโครงการแจ้งเบาแสเป็นรายปี ดังนั้น องค์กรจึงจำเป็นต้องประเมินและปรับปรุงกลยุทธ์การสื่อสารของตนเพื่อให้แน่ใจว่ามีการเผยแพร่ข้อมูลเกี่ยวกับนโยบายและขั้นตอนการแจ้งเบาะแสอย่างมีประสิทธิภาพ

ความท้าทายส่วนใหญ่ที่องค์กรเผชิญเมื่อนำโครงการแจ้งเบาะแสมาใช้ เป็นเรื่องความไว้วางใจของพนักงานและผู้มีส่วนได้ส่วนเสียต่อนโยบายขององค์กร โดยร้อยละ 61 ของความท้าทายที่องค์กรต้องเผชิญในการนำโครงการแจ้งเบาะแสมาใช้ เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับปัญหาของพนักงาน เช่น ความเป็นอิสระ การรับรู้ในเรื่องโครงการ และความกลัวการตอบโต้ แสดงถึงการพัฒนาขึ้นจากปี 2566 ที่ร้อยละ 69 ของความท้าทายเกี่ยวข้องกับปัญหาในลักษณะเดียวกันของพนักงาน  เพื่อรับมือความท้าทายเหล่านี้เและความต้องการที่เปลี่ยนแปลงของธุรกิจ องค์กรอาจพิจารณาใช้บริการแจ้งเบาะแสภายนอก เพื่อบรรเทาความกังวลของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในการแจ้งเบาะแส

ข้อมูลเชิงลึกเหล่านี้ จะช่วยให้องค์กรสามารถปรับปรุงนโยบายการแจ้งเบาะแสให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น โดยการอุดช่องโหว่ ปรับปรุงกระบวนการทำงาน และให้แน่ใจว่าโครงการสอดคล้องกับความต้องการขององค์กรและแนวทางปฏิบัติที่ดีที่สุดของอุตสาหกรรม  ซึ่งจะส่งผลให้เกิดระบบแจ้งเบาะแสที่แข็งแกร่ง มั่นคง และตอบสนองต่อความต้องการขององค์กรได้ดียิ่งขึ้น

 

Share: