ภูเก็ตแซนด์บอกซ์ : ถอดบทเรียนจากมัลดีฟส์ และเซเชลส์
การเร่งกระจายฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 เป็นประเด็นที่ทุกภาคส่วนของไทยกำลังให้ความสำคัญ เนื่องจากเชื่อว่า “วัคซีน” จะเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจมีโอกาสกลับมาพลิกฟื้นได้ โดยเฉพาะภาคการท่องเที่ยว ซึ่งในขณะนี้หลายประเทศทั่วโลกไม่ว่าจะเป็นประเทศในโซนยุโรป สหรัฐอเมริกา ออสเตรเลีย อิสราเอล รัสเซีย ได้ทยอยฉีดวัคซีนให้ประชากรในประเทศ จนเริ่มมีนักท่องเที่ยวพร้อมออกเดินทาง ตั้งแต่ต้นเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา ในขณะที่ประเทศไทยมีความคาดหวังว่าหากแผนการกระจายวัคซีนดำเนินการได้ตามเป้าหมาย จะกลับมาเปิดประเทศได้ภายใน 120 วัน โดยเริ่มจาก “โครงการภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์ “ ที่จะดำเนินการวันที่ 1 กรกฎาคม 2564 นี้ เพื่อนำร่องต้อนรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ และจะเป็นโมเดลขยายการเปิดประเทศไปยังจังหวัดท่องเที่ยวหลักอื่นๆ ต่อไป
อย่างไรก็ตาม แม้ว่ามีหลายประเทศดำเนินการฉีดวัคซีนในปริมาณที่สามารถสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ได้ในระดับหนึ่งแล้ว ได้แก่ มัลดีฟส์ และเซเชลส์ กลับพบว่ายังมีการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ในระลอกใหม่อย่างรุนแรงจนทำให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจหยุดชะงักลงอีกครั้ง ด้วยเหตุที่ทั้งสองประเทศนี้มีความคล้ายคลึงกับประเทศไทยในหลายมิติ อาทิ สภาพภูมิประเทศที่เป็นเกาะของมัลดีฟส์ และหมู่เกาะเซเชลส์ ที่คล้ายคลึงกับจังหวัดภูเก็ตซึ่งจะเป็นจังหวัดนำร่องในการต้อนรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ
ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจทีทีบี หรือ ttb analytics ทำการศึกษาข้อมูลเชิงประจักษ์เพื่อถอดบทเรียนประเทศเหล่านั้น พร้อมทั้งประเมินสถานการณ์ของโครงการภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์ และวิเคราะห์ว่าประเทศไทยควรมีการเตรียมพร้อมเพื่อรับมือสถานการณ์อย่างไร
ถอดบทเรียนมัลดีฟส์และเซเชลส์ : หมู่เกาะที่ภูมิประเทศคล้ายภูเก็ต หลังจากเปิดประเทศรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ อัตราการติดเชื้อพุ่งสูงขึ้น พบความเสี่ยงจากการระบาดของสายพันธุ์อื่นนอกประเทศ
เมื่อถอดบทเรียนการเร่งฉีดวัคซีนให้ประชาชนได้รับวัคซีนในอัตราฉีดสูงและเปิดประเทศรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ กรณีหมู่เกาะเซเชลส์ แม้ว่าในปัจจุบันจะมีอัตราการฉีดวัคซีนสูงถึง 71.5% แต่เมื่อมีการเปิดประเทศรับนักท่องเที่ยวในช่วงเดือนมีนาคม 2564 ที่ผ่านมา กลับพบการระบาดของเชื้อเฉลี่ยสูงขึ้น 3.8 เท่าตัว ในช่วงเดือนเมษายน ถึง มิถุนายน ในขณะที่ประเทศมัลดีฟส์ที่มีอัตราการฉีดวัคซีน 58.3% พบการระบาดสูงขึ้นกว่าเดิม 8.2 เท่าในช่วงเวลาเดียวกัน โดยจะเห็นว่าหลังจากเปิดประเทศแล้ว ทั้งสองประเทศยอดนักท่องเที่ยวเริ่มดีขึ้นในสองเดือนแรก แต่ในเดือนที่สามเริ่มพบยอดการติดเชื้อในประเทศเพิ่มสูงขึ้น ดังนั้น การเปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ ชี้ถึงโอกาสเสี่ยงในการรับเชื้อไวรัสที่แตกต่างจากสายพันธุ์ท้องถิ่น โดยเป็นสิ่งที่ไทยต้องตระหนัก
ภูเก็ตแซนด์บอกซ์ : ถอดบทเรียนจากมัลดีฟส์ และเซเชลส์
การเร่งกระจายฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 เป็นประเด็นที่ทุกภาคส่วนของไทยกำลังให้ความสำคัญ เนื่องจากเชื่อว่า “วัคซีน” จะเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจมีโอกาสกลับมาพลิกฟื้นได้ โดยเฉพาะภาคการท่องเที่ยว ซึ่งในขณะนี้หลายประเทศทั่วโลกไม่ว่าจะเป็นประเทศในโซนยุโรป สหรัฐอเมริกา ออสเตรเลีย อิสราเอล รัสเซีย ได้ทยอยฉีดวัคซีนให้ประชากรในประเทศ จนเริ่มมีนักท่องเที่ยวพร้อมออกเดินทาง ตั้งแต่ต้นเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา ในขณะที่ประเทศไทยมีความคาดหวังว่า หากแผนการกระจายวัคซีนดำเนินการได้ตามเป้าหมาย จะกลับมาเปิดประเทศได้ภายใน 120 วัน โดยเริ่มจาก “โครงการภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์ “ ที่จะดำเนินการวันที่ 1 กรกฎาคม 2564 นี้ เพื่อนำร่องต้อนรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ และจะเป็นโมเดลขยายการเปิดประเทศไปยังจังหวัดท่องเที่ยวหลักอื่นๆ ต่อไป
อย่างไรก็ตาม แม้ว่ามีหลายประเทศดำเนินการฉีดวัคซีนในปริมาณที่สามารถสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ได้ในระดับหนึ่งแล้ว ได้แก่ มัลดีฟส์ และเซเชลส์ กลับพบว่ายังมีการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ในระลอกใหม่อย่างรุนแรงจนทำให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจหยุดชะงักลงอีกครั้ง ด้วยเหตุที่ทั้งสองประเทศนี้มีความคล้ายคลึงกับประเทศไทยในหลายมิติ อาทิ สภาพภูมิประเทศที่เป็นเกาะของมัลดีฟส์ และหมู่เกาะเซเชลส์ ที่คล้ายคลึงกับจังหวัดภูเก็ตซึ่งจะเป็นจังหวัดนำร่องในการต้อนรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ
ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจทีทีบี หรือ ttb analytics ทำการศึกษาข้อมูลเชิงประจักษ์เพื่อถอดบทเรียนประเทศเหล่านั้น พร้อมทั้งประเมินสถานการณ์ของโครงการภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์
ถอดบทเรียนมัลดีฟส์และเซเชลส์ : หมู่เกาะที่ภูมิประเทศคล้ายภูเก็ต หลังจากเปิดประเทศรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ อัตราการติดเชื้อพุ่งสูงขึ้น พบความเสี่ยงจากการระบาดของสายพันธุ์อื่นนอกประเทศ
เมื่อถอดบทเรียนการเร่งฉีดวัคซีนให้ประชาชนได้รับวัคซีนในอัตราฉีดสูงและเปิดประเทศรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ กรณีหมู่เกาะเซเชลส์ แม้ว่าในปัจจุบันจะมีอัตราการฉีดวัคซีนสูงถึง 71.5% แต่เมื่อมีการเปิดประเทศรับนักท่องเที่ยวในช่วงเดือนมีนาคม 2564 ที่ผ่านมา กลับพบการระบาดของเชื้อเฉลี่ยสูงขึ้น 3.8 เท่าตัว ในช่วงเดือนเมษายน ถึง มิถุนายน ในขณะที่ประเทศมัลดีฟส์ที่มีอัตราการฉีดวัคซีน 58.3% พบการระบาดสูงขึ้นกว่าเดิม 8.2 เท่าในช่วงเวลาเดียวกัน โดยจะเห็นว่าหลังจากเปิดประเทศแล้ว ทั้งสองประเทศยอดนักท่องเที่ยวเริ่มดีขึ้นในสองเดือนแรก แต่ในเดือนที่สามเริ่มพบยอดการติดเชื้อในประเทศเพิ่มสูงขึ้น ดังนั้น การเปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ ชี้ถึงโอกาสเสี่ยงในการรับเชื้อไวรัสที่แตกต่างจากสายพันธุ์ท้องถิ่น โดยเป็นสิ่งที่ไทยต้องตระหนัก