เร่งวางรากฐานองค์กร “เคทีซี” เพิ่มความแข็งแกร่ง “ระเฑียร ศรีมงคล” สาน 3 สิ่ง ก่อนส่งไม้ซีอีโอใหม่

374
0
Share:

ในปี 2566 ถือเป็นปีแห่งการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของ “เคทีซี” หรือบริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ทั้งโครงสร้างองค์กร กลยุทธ์ กระบวนการ เทคโนโลยี ผลิตภัณฑ์และบริการ เพื่อขับเคลื่อนไปสู่รากฐานองค์กรที่แข็งแกร่ง ภายใต้แนวคิด “A Transition to the New Foundation” ก่อนที่นายระเฑียร ศรีมงคล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร “เคทีซี” จะส่งไม้ต่อให้กับซีอีโอคนใหม่ในปี 2567

เร่งทำ 3 สิ่งให้เสร็จ สร้างฐานทำกำไรหมื่นล้านอีก 3 ปีข้างหน้า

“ผมมีความฝันว่า ในปี 2567 เคทีซีจะมีกำไรนิวไฮ และหลังจากนั้นอีก 3 ปีข้างหน้าก็จะมีกำไรในระดับ 10,000 ล้านบาท ดังนั้น ในปี 2566 จึงเป็นปีที่เราต้องเตรียมการ โดยผมมีหน้าที่จะต้องดำเนินการให้เสร็จสิ้น 3 สิ่ง ซึ่งเป็นการพัฒนาโครงสร้างและระบบภายในเคทีซีทั้งหมด เพื่อเป็น New Foundation หรือฐานของการดำเนินธุรกิจ โดยมี 3 ผลิตภัณฑ์เรือธง คือ บัตรเครดิต สินเชื่อบัตรกดเงินสดเคทีซี พราว และสินเชื่อเคทีซี พี่เบิ้ม รถแลกเงิน มีหน้าที่ทำกำไรสร้างนิวไฮต่อเนื่องและมีกำไรแตะ 10,000 ล้านบาทตามเป้าหมาย” นายระเฑียร กล่าวในงานแถลงข่าวทิศทางการดำเนินธุรกิจปี 2566 พร้อมด้วยทีมผู้บริหารของเคทีซี

ในปี 2566 เคทีซีจะเริ่มปรับเปลี่ยนเพื่อเตรียมองค์กรให้เป็นโครงสร้างแบบแนวราบ (Flat Organization) และมีหน่วยงานใหม่ ๆ เพิ่มขึ้น รวมทั้งจะบูรณาการไอทีเข้ามาเป็นส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนกลยุทธ์องค์กรสู่การปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรม ทั้ง 3 มิติ ได้แก่ 1. Enterprise Architecture การจัดโครงสร้างให้สอดคล้องและเป็นไปในทิศทางเดียวกันทั้งด้านธุรกิจ ด้านไอทีและระบบปฏิบัติการ 2. Enterprise Skill Assets การส่งเสริมให้คนเคทีซีได้พัฒนาทักษะสำคัญด้านต่าง ๆ ที่สร้างความก้าวหน้าในหน้าที่การงาน และเป็นประโยชน์กับองค์กร สุดท้าย 3. Enterprise Data การบริหารจัดการข้อมูลที่ครอบคลุม ทั้งกระบวนการ ตั้งแต่การวางแผน การจัดเก็บ การเข้าถึงข้อมูลไปจนถึงการทำลายข้อมูล เน้นความปลอดภัย ถูกต้องและโปร่งใส เพื่อให้เคทีซีมีฐานข้อมูลคุณภาพ สนับสนุนการดำเนินงานที่มีประสิทธิภาพ

นายระเฑียร์กล่าวว่า เรื่องสำคัญที่สุด ที่พยายามดูแลและพัฒนามาตลอดตั้งแต่เข้าร่วมงานกับเคทีซี คือการพัฒนา Mindset ของคนในองค์กรให้มีดีเอ็นเอเดียวกัน โดยนอกจาก 3 ค่านิยมองค์กรหลัก (Core VaLue) ที่คนเคทีซียึดถือเป็นแนวทางในการทำงาน ได้แก่ 1. กล้าทำในสิ่งที่ถูกต้อง 2.ทำให้ง่าย 3.ทำสิ่งที่มีความหมายและเป็นประโยชน์ จากนี้จะมุ่งสร้างวัฒนธรรมองค์กรแห่งความไว้วางใจ (Trusted Organization) ภายในองค์กรให้แกร่งยิ่งขึ้น เพื่อส่งต่อความไว้วางใจไปสู่สมาชิก องค์กร ผู้ถือหุ้นและสังคม

เคทีซียังคงเดินหน้าแผนกลยุทธ์ด้านความยั่งยืนอย่างรับผิดชอบ ด้วยความมุ่งมั่นที่จะพัฒนาและยกระดับองค์กรให้แข็งแกร่ง ทั้งในด้านเศรษฐกิจ สังคมและสิ่งแวดล้อม โดยดำเนินธุรกิจด้วยความโปร่งใสและมีธรรมภิบาล ส่งเสริมการพัฒนาบุคลากรคุณภาพและเคารพสิทธิมนุษยชน การันตีจากการได้รับคัดเลือกให้อยู่ในรายชื่อหุ้นยั่งยืนของ THIS (Thailand Sustainability Investment) เป็นปีที่ 4 และติดอันดับ ESG 100 ตั้งแต่ปี 2559 อีกทั้งได้รับการจัดอันดับ MSCI ระดับ A และได้รับคัดเลือกให้เป็นสมาชิกดัชนีความยั่งยืนระดับโลก “FTSE4 Good Index Series” รวมทั้งพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการที่สร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับสมาชิกและผู้บริโภค ตลอดจนสร้างโอกาสให้คนในสังคมสามารถเข้าถึงบริการทางการเงิน

สำหรับการดำเนินธุรกิจของเคทีซี จากนี้จะแบ่งเป็น 3 กลุ่มคือ กลุ่มธุรกิจหลัก (Existing) ดังนี้

๐ ธุรกิจบัตรเครดิตและธุรกิจสินเชื่อไม่มีหลักประกันที่มีพอร์ตสินเชื่อในระดับหมื่นล้านบาทขึ้นไป

๐ กลุ่มธุรกิจใหม่ที่คาดว่าจะสร้างรายได้แบบก้าวกระโดด (New SCurve) ได้แก่ สินเชื่อรถแลกเงิน เคทีซี พี่เบิ้ม และสินเชื่อกรุงไทยธุรกิจ ลีสซิ่ง

กลุ่มโมเดลธุรกิจที่อยู่ในระหว่างการบ่มเพาะ (Incubator) เช่น MAAI – Loyalty Platform เป็นต้น

โดยธุรกิจบัตรเครดิตยังเป็นธุรกิจหลักของเคทีซี ในปี 2566 ตั้งเป้ามีสมาชิกสมัครบัตรใหม่ 180,000 ใบ คาดว่ายอดการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตจะเติบโต 10% จากปี 2565 หรือประมาณ 264,000 ล้านบาท ผ่านกลยุทธ์การตลาดที่เน้นแนวคิด Less is More หรือการทำสิ่งที่สำคัญเพื่อให้เกิดประสิทธิผลสูงสุด มุ่งปรับกระบวนการทำงานในทีมการตลาดให้กระชับคล่องตัวมากขึ้น บน 5 แกนสำคัญคือ 1. การบริหารพอร์ตลูกค้าให้มีคุณภาพมากที่สุด  2. การเน้นขยายฐานลูกค้ากลุ่มรายได้ต่อเดือนตั้งแต่ 50,000-200,000 บาทขึ้นไป 3. จัดโปรแกรมกระตุ้นการใช้จ่ายที่ตอบโจทย์ฐานสมาชิกบัตรเคทีซี 4. ร่วมมือกับพันธมิตรท้องถิ่นจัดแคมเปญการตลาดและกิจกรรมการขยายฐานสมาชิกในต่างจังหวัด และ 5. บริหารจัดการการสื่อสารการตลาด (Marketing Communications)ให้เกิดประสิทธิผลสูงสุด

ส่วนธุรกิจสินเชื่อ ในปี 2566 ถือเป็นโอกาสที่ดีสำหรับ “เคทีซี พี่เบิ้ม รถแลกเงิน” และ “เคทีซี พราว” ที่จะเข้าไปปเติมเต็มความต้องการสินเชื่อที่สูงขึ้นต่อเนื่อง คาดว่าสิ้นปีนี้จะมียอดอนุมัติสินเชื่อ “เคทีซี พี่เบิ้ม รถแลกเงิน” เพิ่ม 9,100 ล้านบาท จากสิ้นปี 2565 อยู่ที่ประมาณ 1,000 -1,2000 ล้านบาท  ทำให้พอร์ตรวมอยู่ที่ 10,000 ล้านบาท โดยเน้นสินเชื่อจำนำทะเบียนรถเป็นหลัก ชูกลยุทธ์เน้นขยายพอร์ตสินเชื่ออย่างต่อเนื่อง ด้วยจุดแข็งของผลิตภัณฑ์ ทั้งการให้วงเงินใหญ่สูงสุด 1 ล้านบาท อนุมัติใน 1 ชั่วโมง รับเงินทันที และเปิดโอกาสให้ลูกค้ากลุ่มใหม่ ๆ ที่มีข้อจำกัดด้านเอกสารและรายได้เข้าถึงสินเชื่อได้มากขึ้น ซึ่งมีธนาคารกรุงไทยเป็นช่องทางหลักในการรับสมัคร รวมทั้งจะเน้นการสื่อสารผ่านช่องทางออฟไลน์และออนไลน์ เพื่อให้เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายในวงกว้าง โดยเฉพาะกลุ่มลูกค้าในพื้นที่ต่างจังหวัด  ในบทบาทเป็นสินเชื่อทางเลือกคนไม่ท้อ เปิดรับทุกกลุ่มอาชีพ โดยเฉพาะคนทำมาหากินที่สู้ชีวิต และผู้ที่ไม่สามารถเข้าถึงสินเชื่อก้อนใหญ่จากสถาบันการเงินอื่น

ด้านธุรกิจสินเชื่อบัตรกดเงินสด “เคทีซี พราว” (KTC PROUD) คาดว่าเมื่อสิ้นปี 2566 พอร์ตลูกหนี้สินเชื่อบุคคลจะเติบโต 7% และมีสมาชิกใหม่ “เคทีซี พราว” 110,000 ราย เน้นกลยุทธ์พัฒนาไปในทางออนไลน์มากขึ้น เพื่อตอบรับกับพฤติกรรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป เปิดให้ลูกค้าสามารถขอสินเชื่อออนไลน์ได้ด้วยตนเองผ่านโมบายแอปฯ ในรูปแบบของใบสมัครออนไลน์ (Electronic Application) และช่องทางการเบิกถอนเงินสดออนไลน์ผ่านทางแอปฯ KTC Mobile ให้สะดวกขึ้น โดยเพิ่มบัญชีพร้อมเพย์ในการโอนเงิน นอกเหนือจากที่โอนเงินเข้าบัญชีธนาคารได้ 15 แห่ง และเพิ่มช่องทางเข้าถึงกลุ่มลูกค้าเป้าหมายที่ต้องการใช้สินเชื่อด้วยต้นทุนรับสมัครที่ต่ำแต่ได้ผลดี รวมทั้งเดินหน้าสร้างความผูกพันกับกลุ่มสมาชิก ด้วยการต่อยอดกิจกรรมสัมมนาอาชีพเสริมเพิ่มรายได้ และการส่งเสริมวินัยในการชำระ ผ่านโครงการเคลียร์หนี้เกลี้ยง

นอกจากนี้ เคทีซีจะมุ่งบริหารต้นทุนทางการเงินให้มีประสิทธิภาพ ภายใต้ความเสี่ยงที่ยอมรับได้และเหมาะสมกับสภาวะเศรษฐกิจ โดยจะมีการระดมเงินกู้ยืมระยะยาวประมาณ 15,000 ล้านบาท เพื่อรองรับหุ้นกู้ที่จะครบกำหนดในปี 2566 จำนวน 4,640 ล้านบาท รวมทั้งสนับสนุนการเติบโตของพอร์ตสินเชื่อเคทีซี ซึ่งคาดว่าเมื่อสิ้นปี 2566 เคทีซีจะมีสัดส่วนเงินกู้ยืมระยะสั้นต่อเงินกู้ยืมระยะยาว 20:80 และต้นทุนทางการเงินอาจเพิ่มขึ้นตามทิศทางอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้นจากปี 2565 อยู่ที่ 2.5%-3.0% ขณะที่จะควบคุมหนี้ไม่ก่อให้เกิดรายได้ หรือ NPL อยู่ในอัตราต่ำกว่าปี 2566 หรือต่ำกว่า 1.7%

Share: