เอสซีจี  โซลาร์รูฟ รุกตลาดโซลาร์งานบ้าน และโรงงาน – อาคาร ตอบโจทย์เทรนด์ความต้องการลดค่าไฟฟ้า

541
0
Share:

“เอสซีจี โซลาร์รูฟ โซลูชั่น” เผยเทรนด์ความต้องการติดโซลาร์รูฟโตกระโดด จากพฤติกรรมการใช้ไฟกลางวันทำงานที่บ้านค่าไฟสูงขึ้นเฉลี่ย 30-50% ผนวกกับเทคโนโลยีโซลาร์มีการพัฒนาทำให้ราคาเข้าถึงง่ายขึ้น การติดโซลาร์จึงเป็นการลงทุนที่คุ้มค่าในระยะยาว ส่งผลให้ปีที่ผ่านมายอดขาย “เอสซีจี โซลาร์รูฟ โซลูชั่น” เติบโตเกือบ 200% สำหรับปี 2564 พร้อมรุกตลาดทั้งงานบ้าน และงานโรงงาน – อาคารอย่างเต็มตัว เพื่อตอบโจทย์ความต้องการลดรายจ่ายค่าไฟฟ้า ชูจุดแข็งด้วยความเชี่ยวชาญทางด้านหลังคา ประกอบกับความรู้ด้านโซลาร์ รับประกันสูงถึง 25 ปี รวมทั้งการให้บริการติดตั้งอย่างครบวงจร พิเศษด้วยนวัตกรรม Solar FIX สิทธิบัตรเฉพาะเอสซีจี ติดโซลาร์โดยไม่ต้องเจาะหลังคาให้เสี่ยงรั่ว ตั้งเป้าปลายปี 64 เติบโต 600%

นายธงชัย โสภณ กรรมการผู้จัดการ กลุ่มธุรกิจหลังคา บริษัท เอสซีจี รูฟฟิ่ง จำกัด ในเอสซีจี เผยว่า เอสซีจี ในฐานะผู้นำนวัตกรรมวัสดุก่อสร้าง ไม่เคยหยุดนิ่งในการคิดค้นพัฒนาคุณภาพสินค้า และบริการ ที่ช่วยตอบทุกความต้องการเรื่องบ้านของผู้บริโภค โดยช่วงปีที่ผ่านมาพฤติกรรมของเจ้าของบ้านเปลี่ยนไป หันมาใช้ชีวิตภายในบ้านมากขึ้น รวมถึงการ Work From Home เพื่อลดความเสี่ยงจากการติดเชื้อไวรัสโคโรนา (COVID-19) และมลพิษฝุ่น PM 2.5 ทำให้มีการใช้ไฟ – เปิดแอร์ช่วงกลางวันมากขึ้น ส่งผลให้ค่าไฟเฉลี่ยเพิ่มสูงขึ้นถึง 30-50% เจ้าของบ้านจึงมองหาโซลูชั่นที่ช่วยลดรายจ่ายเรื่องค่าไฟโดยเฉพาะการติดโซลาร์รูฟ ผนวกกับเทคโนโลยีโซลาร์พัฒนาถึงจุดที่คุ้มทุนภายใน 7-10 ปี หากมองในแง่การลงทุน การติดตั้งโซลาร์รูฟ ให้ผลตอบแทนประมาณ 10% ต่อปี ถือว่ามากกว่าอัตราดอกเบี้ยเงินฝากในปัจจุบัน ประกอบกับภาครัฐมีการปรับเกณฑ์การรับซื้อไฟคืนในโครงการโซลาร์ภาคประชาชน 2564 เป็น 2.20 บาทต่อหน่วย จากเดิม 1.68 บาทต่อหน่วย  การลงทุนติดโซลาร์รูฟจึงน่าสนใจและคุ้มค่าขึ้นอีกขั้น

“ภาพรวมตลาดโซลาร์ทั่วโลกมีการเติบโตอย่างต่อเนื่องทั้งในภาคอุตสาหกรรมและภาคครัวเรือน รวมถึงในประเทศไทยตลาดโซลาร์ก็มีการเติบโตต่อเนื่องเช่นเดียวกัน มีมูลค่าตลาดสูงถึง 8,200 ล้านบาท จากพฤติกรรมลูกค้าที่เปลี่ยนไป โซลาร์รูฟจึงเป็นที่ต้องการของตลาดมากขึ้น แต่ความรู้ความเข้าใจในระบบโซลาร์ของลูกค้ายังมีไม่มาก เช่น การติดตั้งที่ได้มาตรฐาน, มาตรฐานของอุปกรณ์ที่ใช้ในระบบ รวมถึงการขออนุญาตกับภาครัฐ ทางเอสซีจี โซลาร์รูฟ โซลูชั่น จึงพัฒนารูปแบบสินค้าและบริการที่ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าอย่างครบวงจร โดยเรามีการผลักดันช่องทางการขายแบบ Omni-Channel และทำการตลาดผ่าน Digital Marketing อย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ปีที่ผ่านมายอดขายของเอสซีจี โซลาร์รูฟ โซลูชั่น  เติบโตเกือบ 200%”

นายธงชัยกล่าวต่อว่า “สำหรับปี 2564 นี้ เราตั้งเป้าหมายเข้าถึงลูกค้า 2 กลุ่ม คือ กลุ่มงานบ้าน และโดยเฉพาะกลุ่มงานโรงงาน – อาคาร  “เอสซีจี โซลาร์รูฟ โซลูชั่น” พร้อมบุกตลาดกลุ่มโรงงาน และอาคารที่มีการใช้ไฟกลางวันต่อเนื่อง เพื่อตอบโจทย์ความต้องการลดรายจ่ายค่าไฟฟ้าให้เจ้าของธุรกิจ โดยมีความพร้อมทั้งทีมวิศวกรที่จะให้คำปรึกษาด้านการจัดการพลังงาน (Experienced Energy Consultant) เพื่อประสิทธิภาพการใช้งานระบบโซลาร์อย่างสูงสุด  ซึ่งการติดโซลาร์รูฟในภาคธุรกิจมีจุดคุ้มทุนภายใน 5-6 ปีเท่านั้น  รวมถึงมีบริการให้คำปรึกษาด้านการลงทุน (Investment Consultant) เพื่ออำนวยความสะดวกด้านการลงทุนของแต่ละธุรกิจที่แตกต่างกัน  โดยเรามีทีมติดตั้งที่พร้อมให้บริการทั่วประเทศ  ตั้งเป้าเติบโตปลายปี 2564  กว่า 600%”

“เอสซีจี โซลาร์รูฟ โซลูชั่น” มีสินค้าและบริการที่จะช่วยตอบโจทย์เจ้าของบ้าน  และเจ้าของธุรกิจ  “มั่นใจ” ด้วยการออกแบบการติดตั้งแผงโซลาร์รูฟ จากทีมวิศวกรเพื่อการผลิตไฟได้สูงสุด โดยช่วยลดค่าไฟฟ้าได้สูงสุดถึง 60%  “ไร้กังวล” มีการตรวจสอบสภาพความพร้อมของหลังคา (Roof Health Check) เพื่อให้มั่นใจว่าหลังคาพร้อมติดตั้งโซลาร์รูฟ และหากมีปัญหาจะดำเนินการแก้ไขให้โดยทีมช่างจากเอสซีจี นอกจากนี้ ยังติดตั้งโซลาร์รูฟ โดยไม่ต้องเจาะหลังคาด้วยนวัตกรรม Solar FIX ไม่เสี่ยงรั่ว สิทธิบัตรเฉพาะเอสซีจีเท่านั้น “สินค้าคุณภาพ” แผงโซลาร์ Tier 1 เทคโนโลยีการผลิตจากสหรัฐอเมริกา รับประกันตัวแผงโซลาร์ และประสิทธิภาพการผลิตไฟนาน 25 ปี ในส่วนของอินเวอร์เตอร์ (ระบบแปลงไฟ) ใช้เทคโนโลยีสวิสเซอร์แลนด์ รับประกัน 10 ปี “สะดวก” ดำเนินการขออนุญาตติดตั้งโซลาร์ให้ทั้งกระบวนการ และสามารถติดตามการผลิตไฟได้ Real Time ผ่าน SCG Solar Application และมี “บริการหลังการขาย” ทำให้ลูกค้ามั่นใจได้ว่า เอสซีจี  โซลาร์รูฟ โซลูชั่น  พร้อมอยู่ดูและเคียงข้างไปตลอดระยะเวลารับประกัน  25 ปี

 

 

Share: