แนวทางรับมือความเสี่ยงภูมิรัฐศาสตร์การใช้คลาวด์

46
0
Share:

สถานการณ์ทางภูมิรัฐศาสตร์ในปัจจุบันทำให้ภูมิทัศน์ของโครงสร้างพื้นฐานไอทีทั่วโลกเกิดการเปลี่ยนแปลง มีความไม่แน่นอน ซับซ้อนและคลุมเครืออย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน ในช่วงสภาวะอ่อนไหวเช่นนี้ หลายองค์กรแสดงความกังวลมากขึ้นต่อการพึ่งพาเทคโนโลยีจากต่างประเทศ ซึ่งทำให้ต้องหันกลับมาประเมินการพึ่งพาผู้ให้บริการคลาวด์อีกครั้ง

 

 

เป็นเวลาหลายปีที่องค์กรเผชิญกับปัญหาเดิมๆ อาทิ การผูกขาดการเป็นผู้จำหน่าย (Vendor Lock-In) การสูญเสียอำนาจการต่อรองกับผู้จำหน่าย (Loss of Vendor Negotiation Power) และความเป็นไปได้ของการหยุดชะงักครั้งใหญ่ของบริการ (Major Outage) เช่นที่เกิดขึ้นกับ Crowdstrike เมื่อปีก่อน สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นความท้าทายแต่ยังเป็นเรื่องที่รับมือจัดการได้และมองว่าเป็นการยอมแลกที่รับได้เพื่อให้ได้มาซึ่งนวัตกรรม ความคล่องตัว และประสิทธิภาพของคลาวด์ที่ปรับขนาดได้ ผลวิจัยการ์ทเนอร์เผยให้เห็นว่าอธิปไตยคลาวด์ (Cloud Sovereignty) เคยเป็นเรื่องที่ลูกค้าให้ความสำคัญต่ำ แต่ปัจจุบันสถานการณ์ได้เปลี่ยนไปแล้ว

แม้ระบบนิเวศไอทีสมัยใหม่ส่วนใหญ่จะพึ่งพาผู้ให้บริการคลาวด์ แต่ความเสี่ยงที่เกิดจากความปั่นป่วนทางภูมิรัฐศาสตร์ ณ ปัจจุบันขยายไปไกลกว่าการสูญเสียบริการจากการคว่ำบาตรหรือข้อพิพาททางการค้าระหว่างประเทศ ไปจนถึงศักยภาพในการโจรกรรมข้อมูลผ่านการเข้ายึดอำนาจโดยรัฐบาลหรือการกระทำนอกเหนือกฎหมาย นอกจากนี้ยังมีความกังวลเกี่ยวกับราคาคลาวด์ที่คาดเดาไม่ได้ ซึ่งเกิดจากภาษีนำเข้า เงินเฟ้อ และความผันผวนของสกุลเงิน ทั้งหมดนี้กำลังผลักดันให้กลยุทธ์คลาวด์ถูกยกกลับมาหารืออีกครั้งในห้องประชุมในฐานะที่เป็นปัญหาสำคัญด้านความยืดหยุ่นทางธุรกิจ

เพื่อสร้างความยืดหยุ่นให้เกิดขึ้นอย่างแท้จริงในสภาพแวดล้อมนี้ องค์กรต้องมองภาพให้กว้างขึ้น หมายถึงกลับมาประเมินใหม่ ที่ไม่เพียงแต่ด้านการพึ่งพาผู้ให้บริการคลาวด์ระดับไฮเปอร์สเกลเท่านั้น แต่ยังรวมถึงความเสี่ยงจากการใช้ระบบคลาวด์ทั้งหมดในสภาพแวดล้อมไอที

ประเมินการพึ่งพาผู้ให้บริการระบบคลาวด์
หากในช่วงเวลาที่ผ่านมาองค์กรยังไม่ได้ประเมินเรื่องการพึ่งพาผู้จำหน่ายคลาวด์หรือความเสี่ยงสำคัญๆ ที่อาจเกิดจากบุคคลที่สามตอนนี้ถึงเวลาที่ต้องลงมือแล้ว โดยสามารถเริ่มจากการทำ Mapping ที่ไม่เพียงแต่เรื่องของการพึ่งพาคลาวด์อย่างเดียวโดยตรง แต่รวมถึงโครงข่ายที่กว้างขึ้นของบริการและเทคโนโลยีที่พึ่งพาโครงสร้างพื้นฐานคลาวด์ ทั้งจากภายในและภายนอกเครือข่าย

หมายความว่าองค์กรต้องมองไกลกว่าโซลูชันบนคลาวด์ที่มีอยู่ทั่วไป เพราะระบบภายในจำนวนมากดูเหมือนจะพึ่งพาความสามารถที่เชื่อมโยงกับคลาวด์แบบ On-Premises รวมถึงโซลูชันด้านความปลอดภัยที่ต้องอาศัยข้อมูลภัยคุกคามบนคลาวด์ หรือฮาร์ดแวร์ อาทิ พวกอุปกรณ์เครือข่ายหรืออินเทอร์เน็ตออฟธิงส์ (IoT) ที่กำหนดค่าและจัดการผ่านคลาวด์

ฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์แบบดั้งเดิมจำนวนมากได้รับอนุญาตให้ใช้งานผ่านระบบคลาวด์ ซึ่งทำให้มีจุดเชื่อมกันที่ซ่อนอยู่ อาจมีความสำคัญในเหตุที่เกิดการหยุดชะงัก

เมื่อเขียนภาพแสดงการพึ่งพาคลาวด์ออกมาได้แล้ว จำเป็นต้องพิจารณาพื้นที่ทางภูมิรัฐศาสตร์ของบริการและผู้ขายแต่ละราย นั่นหมายถึงการทำความเข้าใจเขตอำนาจศาลที่เกี่ยวข้องหลายแห่ง เช่น ตำแหน่งที่ตั้งของสำนักงานใหญ่ของผู้ขาย พื้นที่ที่ระบุในสัญญาบริการ และส่งมอบจากที่ใด เป็นต้น การเข้าใจเรื่องเหล่านี้ทำให้องค์กรสามารถระบุว่าส่วนใดของสภาพแวดล้อมไอทีที่อาจเผชิญกับความเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์ได้อย่างรวดเร็ว

ความต่อเนื่องของการตระหนักรู้เกี่ยวกับการพึ่งพากันถือเป็นปัจจัยสำคัญของความสำเร็จ ผลวิจัยการ์ทเนอร์ระบุว่าการติดตามความสัมพันธ์ของบุคคลที่สามอย่างต่อเนื่องมีประสิทธิภาพมากกว่าการติดตามแค่ช่วงเวลาใดเวลาหนึ่ง

ตัวเลือกที่เป็นไปได้สำหรับการพึ่งพาที่สำคัญ
แม้องค์กรหลายแห่งจะซื้อความสามารถระบบคลาวด์มากเกินไป แต่ความจริงก็คือใช้เป็นโซลูชันทางเลือกหลากหลาย โดยเฉพาะใช้สำหรับเวิร์กโหลดงานสำคัญ ที่บางครั้งอาจไม่ตอบโจทย์ความต้องการทางธุรกิจที่มีความสำคัญที่สุดได้เต็มที่ เหตุเพราะไม่มีโซลูชันอื่นให้เลือก

การเปลี่ยนโซลูชันหรือระบบนิเวศบนคลาวด์มักต้องแลกสิ่งหนึ่งเพื่อให้ได้อีกสิ่งหนึ่งเสมอ อาทิ ต้นทุนที่สูงขึ้น ระยะเวลาการใช้งานที่ยาวนานขึ้น ความซับซ้อนที่เพิ่มมากขึ้น และความต้องการด้านทักษะขององค์กรที่มากขึ้น ซึ่งสิ่งเหล่านี้ไม่ใช่แค่การตัดสินใจทางเทคนิคเท่านั้น แต่ยังเป็นการตัดสินใจทางธุรกิจอีกด้วย สิ่งสำคัญคือต้องให้ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียด้านความเสี่ยงจากทั่วทั้งองค์กรมีส่วนร่วม เพื่อพิจารณาว่าการเสียสละใดๆ ที่ยอมรับได้เพื่อแสวงหาความยืดหยุ่น

ทางเลือกที่เป็นไปได้ที่ควรพิจารณาอาจรวมถึงโซลูชันอธิปไตยคลาวด์ (Sovereign Cloud Solutions) ที่ส่งมอบผ่านกิจการร่วมทุน หรือ เป็นพันธมิตรกันเพื่อทำ Geopatriation หรือการกำหนดภูมิรัฐศาสตร์สำหรับย้ายงานและแอปพลิเคชันจากผู้ให้บริการต่างประเทศไปยังผู้ให้บริการในระดับภูมิภาคหรือในประเทศ หรือการกำจัดการพึ่งพาคลาวด์บางส่วนออกไป

การวิเคราะห์ช่วยให้องค์กรสามารถกำหนดได้ว่าสามารถทำอะไรได้ รวมถึงต้นทุน ความพยายาม ความเสี่ยงในการดำเนินการ และปริมาณความเสี่ยงที่เหลืออยู่หลังดำเนินการ ควรระวังไม่ให้ความเสี่ยงโดยรวมเพิ่มขึ้นจากการสลับเปลี่ยนโซลูชัน

วางแผนปรับใช้ตามสถานการณ์
ความเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์ไม่ได้ถูกสร้างขึ้นมาคล้ายกันหมด และไม่ได้ส่งผลกระทบต่อองค์กรในแบบเดียวกัน ผลกระทบของเหตุการณ์ขึ้นอยู่กับเขตอำนาจศาลที่เกี่ยวข้อง รวมถึงลักษณะเหตุการณ์และขอบเขตการพึ่งพาระบบคลาวด์

การวางแผนตามสถานการณ์ช่วยให้มั่นใจว่ากลยุทธ์การจัดการเหตุการณ์ฉุกเฉินบนคลาวด์นั้นสอดรับกับสถานการณ์เฉพาะที่มักเกิดขึ้น รวมถึงสถานการณ์ที่แตกต่างกันจะส่งผลต่อ Timelines การคุ้มครองตามสัญญา การเข้าถึงข้อมูล ความร่วมมือของผู้ให้บริการ ทรัพยากร งบประมาณ และทางเลือกที่เป็นไปได้

สถานการณ์ทางภูมิรัฐศาสตร์ที่อาจส่งผลกระทบต่อบริการคลาวด์ ได้แก่ การพุ่งขึ้นของราคาที่เกิดจากสภาวะเศรษฐกิจ การกำหนดเป้าหมายที่มีแรงจูงใจทางการเมือง การหยุดชะงักทางการค้า หรือการปิดพรมแดน

การ์ทเนอร์ระบุว่าองค์กรส่วนใหญ่มักต้องใช้เวลาอย่างน้อย 2 ปี ในการสลับใช้ระหว่างโซลูชันบนคลาวด์ภายใต้สถานการณ์ปกติ ดังนั้นการเตรียมการล่วงหน้าจึงมีความจำเป็นอย่างมากเพื่อให้สลับไปมาได้อย่างรวดเร็ว อาจมีกรณีที่จะดีกว่าถ้าไม่เพิ่มโซลูชันที่ใช้ระบบคลาวด์ที่มีความเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์ในอนาคต

การนำขั้นตอนเหล่านี้มาใช้จะทำให้องค์กรวางแผนรับมือเหตุการณ์ที่สร้างผลกระทบสูง ซึ่งอาจส่งผลเชิงลบต่อการพึ่งพาระบบคลาวด์ได้

โดย Lydia Leong
รองประธานนักวิเคราะห์อาวุโส การ์ทเนอร์

 

Share: