คนไทยกังวลปัญหา “สิ่งแวดล้อม” แต่พฤติกรรมยังสวนทาง

19
0
Share:

ผลสำรวจล่าสุดประจำปี 2568 โดยมาร์เก็ตบัซซ (หรือ Marketbuzzz) ร่วมกับวิทยาลัยโลกคดีศึกษา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เผยว่า สิ่งแวดล้อมยังคงเป็นปัญหาอันดับหนึ่งที่คนไทยกังวลมากที่สุด อย่างต่อเนื่อง แม้จะเผชิญกับแรงกดดันทางเศรษฐกิจและค่าครองชีพที่สูงขึ้นก็ตาม

 

 

การสำรวจประจำปีนี้ ซึ่งได้จัดทำต่อเนื่องทุกปีตั้งแต่ปี 2562 พบว่า “สิ่งแวดล้อมและมลพิษ” ยังคงเป็นความกังวลอันดับหนึ่งของคนไทย (44%) แม้จะเผชิญกับความท้าทายทางเศรษฐกิจที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ค่าครองชีพที่สูงขึ้น (42%) และภาพรวมเศรษฐกิจ (30%) ที่ติดอันดับความกังวลลำดับต้นๆ เช่นกัน ผลลัพธ์ที่สอดคล้องกันนี้สะท้อนให้เห็นว่าปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมยังคงเป็นสิ่งที่คนไทยกังวลอย่างมาก แม้จะต้องเผชิญกับแรงกดดันทางการเงินที่ทวีความรุนแรงขึ้นก็ตาม

ช่องว่างระหว่างความกังวลและการลงมือทำ: ตระหนักสูง แต่พฤติกรรมเปลี่ยนน้อย
แม้คนไทยจะมีความตระหนักสูง แต่ช่องว่างระหว่างความกังวลและการลงมือทำจริงยังคงมีนัยสำคัญ โดย 65% ของคนไทยเชื่อว่าปัญหาสิ่งแวดล้อมส่งผลกระทบอย่างมากต่อคุณภาพชีวิต และเกือบครึ่ง (48%) เชื่อว่าสถานการณ์จะเลวร้ายลงในอีก 5 ปีข้างหน้า อย่างไรก็ตาม เมื่อสอบถามถึงการกระทำที่ได้ทำไปในสัปดาห์ที่ผ่านมา พฤติกรรมที่พบมากที่สุดคือ การปิดไฟ (50%) และปิดเครื่องปรับอากาศ (44%) ซึ่งเป็นการกระทำที่ง่ายและทำเป็นประจำ ใช้ความพยายามน้อย และสามารถควบคุมได้ด้วยตนเอง

ในทางกลับกัน มีเพียง 23% เท่านั้นที่ปฏิเสธการใช้ถุงพลาสติกจากร้านค้า แสดงให้เห็นถึงพฤติกรรมที่แสดงออกสู่สาธารณะ หรือพฤติกรรมที่ได้รับอิทธิพลทางสังคมที่ลดลงอย่างเห็นได้ชัด

โดยทั่วไปแล้ว การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมด้านสิ่งแวดล้อมจะทำได้ง่ายขึ้นเมื่อรู้สึกว่าตนสามารถสร้างความแตกต่างได้ด้วยตนเอง การกระทำง่ายๆ เช่น การปิดไฟ หรือถอดปลั๊กเครื่องใช้ไฟฟ้า มักจะถูกทำบ่อยกว่า เพราะทำง่ายและให้ความรู้สึกว่าตนเองสามารถควบคุมได้ นอกจากนี้ยังบ่งชี้ว่าผู้คนมีแนวโน้มที่จะเปลี่ยนพฤติกรรมเมื่อพวกเขารู้สึกว่าตนเองสามารถควบคุมและสร้างผลกระทบได้ทันที สำหรับพฤติกรรมที่ซับซ้อนมากขึ้นหรือได้รับอิทธิพลจากระบบ เช่น การรีไซเคิลอย่างถูกวิธี ยังมีข้อจำกัด จึงเป็นโอกาสที่จะต้องให้คำแนะนำหรือรณรงค์เพื่อแสดงถึงผลของการกระทำอย่างชัดเจน สร้างแรงจูงใจ และการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้าง

“ช่องว่างระหว่างความกังวลและการลงมือทำนี้ ไม่ใช่ความล้มเหลว แต่เป็นคำเชิญชวน” มร. แกรนท์ บาร์โทลี่ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร มาร์เก็ตบัซซ (Marketbuzzz) กล่าว “ความท้าทายในขณะนี้คือการเปลี่ยนผู้คนจากความกังวลแบบเฉยชาไปสู่การมีส่วนร่วมอย่างกระตือรือล้นให้มากขึ้น และแบรนด์ต่างๆ สามารถมีบทบาทสำคัญในการเปลี่ยนแปลงนี้ได้”

โอกาสสำคัญสำหรับการก้าวสู่ผู้นำแบรนด์ด้านความยั่งยืน:
ข้อมูลปี 2568 เผยว่า 66% ของคนไทยยังคงจะให้การสนับสนุนแบรนด์หรือองค์กรที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม โดยการสนับสนุนนี้ไม่ได้หมายความว่าผู้บริโภคจะหันมาซื้อผลิตภัณฑ์นั้นๆ เสมอไป เว้นแต่จะมีคุณลักษณะอื่นๆ ที่ใกล้เคียงกัน เช่น บรรจุภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม หรือการวางตำแหน่งของผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ซึ่งสามารถเป็นปัจจัยที่ทำให้แบรนด์มีความยั่งยืนมากขึ้นได้

มร.แกรนท์ กล่าวเสริมว่า “การเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมอาจไม่ใช่เหตุผลอันดับหนึ่งที่ผู้คนตัดสินใจซื้อสินค้า แต่เมื่อคุณสมบัติอื่นๆ ทั้งหมดใกล้เคียงกัน ไม่ว่าจะเป็นราคา คุณภาพ ประสิทธิภาพ ฯลฯ ความยั่งยืนก็สามารถเป็นปัจจัยในการตัดสินใจได้ หากแบรนด์หนึ่งนำเสนอบรรจุภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมหรือคุณสมบัติที่ยั่งยืน ในขณะที่อีกแบรนด์ไม่มี สิ่งนี้สามารถพลิกการตัดสินใจซื้อได้เลย”

องค์กรที่มีความยั่งยืนจะเป็นผู้ผลักดันให้เกิดความเปลี่ยนแปลง:
สิ่งนี้เปิดประตูให้แบรนด์ต่างๆ เป็นผู้นำการเปลี่ยนแปลงโดยการออกแบบเพื่อสร้างผลกระทบ ด้วยการบูรณาการความยั่งยืนเข้ากับคุณค่าหลักของผลิตภัณฑ์ให้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น และนำเสนอให้ผู้บริโภคมองเห็นและเชื่อมโยงได้ และง่ายต่อการลงมือทำ แบรนด์ต่างๆ สามารถเปลี่ยนความกังวลไปสู่การลงมือทำ และสร้างคุณค่าของแบรนด์ได้ในกระบวนการนี้

งานวิจัยยังระบุถึงความกังวลด้านสิ่งแวดล้อม 3 อันดับแรกของคนไทย ได้แก่ ภาวะโลกร้อน (46%) มลพิษทางอากาศ (45%) และการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (29%) ซึ่งตอกย้ำถึงความจำเป็นเร่งด่วนสำหรับการดำเนินการอย่างกว้างขวางและครอบคลุมในทุกอุตสาหกรรมและทุกภาคส่วน

ผศ.ดร.ประภาภรณ์ ติวยานนท์ มงคลวนิช คณบดีวิทยาลัยโลกคดีศึกษา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวว่า “เราได้รับการสนับสนุนจากความตระหนักรู้ที่เพิ่มขึ้นและต่อเนื่องถึงภัยคุกคามทางสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเวลาที่ความท้าทายทางเศรษฐกิจยังคงอยู่ สิ่งนี้แสดงให้เห็นถึงคนไทยตระหนักถึงความรับผิดชอบร่วมกันในการแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมมากขึ้น นอกจากนี้ยังตอกย้ำถึงความจำเป็นเร่งด่วนที่จะสร้างความร่วมมือระหว่างภาคการศึกษา ธุรกิจ และการกำหนดนโยบายเพื่อเร่งความก้าวหน้าอย่างยั่งยืน”

ผศ.ดร.ประภาภรณ์ อธิบายเพิ่มเติมว่า “ความจริงที่ว่าคนไทยส่วนใหญ่ยังมีความกังวลด้านสิ่งแวดล้อม แม้ในช่วงเวลาที่เศรษฐกิจไม่แน่นอน สะท้อนให้เห็นถึงความเข้าใจอย่างลึกซึ้งถึงความรุนแรงของปัญหาเหล่านี้ อย่างไรก็ตาม ช่องว่างที่ยังคงมีอยู่ระหว่างความกังวลและการลงมือทำ ชี้ให้เห็นถึงความต้องการที่ชัดเจนสำหรับการสนับสนุนในระบบที่ชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นโครงสร้างและนโยบายที่ส่งเสริมให้บุคคลเปลี่ยนความตระหนักรู้ไปสู่การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมที่เป็นรูปธรรมและยั่งยืน”

พร้อมเน้นย้ำถึงบทบาทสำคัญของภาคเอกชนว่า “นี่คือจุดที่ความเป็นผู้นำขององค์กรมีบทบาทสำคัญ ธุรกิจมีทรัพยากร ขนาด และอิทธิพลที่จะทำให้เข้าถึงผลิตภัณฑ์หรือบริการที่ยั่งยืนได้ง่ายขึ้น เช่น ราคาที่ไม่แพง และความสะดวกสบาย เมื่อบริษัทต่างๆ เป็นผู้นำด้วยความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม พวกเขาไม่เพียงช่วยบรรเทาวิกฤตโดยตรงเท่านั้น แต่ยังช่วยให้ผู้บริโภคสามารถมีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหาได้อีกด้วย”

การสำรวจนี้ แสดงให้เห็นว่าความกังวลด้านสิ่งแวดล้อมเป็นเรื่องของทุกคน โดยต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ไม่ว่าจะเป็นบุคคลทั่วไป องค์กรหรือบริษัท และรัฐบาล เพื่อเปลี่ยนความตระหนักรู้ที่แพร่หลายไปสู่การเปลี่ยนแปลงที่เป็นรูปธรรม

แบรนด์ที่ก้าวเข้ามาเพื่อนำเสนอทางเลือกที่ยั่งยืนและทำให้การเลือกที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมง่ายขึ้น จะไม่เพียงช่วยแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อมเท่านั้น แต่ยังสามารถใช้ประโยชน์จากกระบวนการนี้เพื่อสร้างความสัมพันธ์เชิงบวกกับแบรนด์ได้อีกด้วย

 

Share: