4 กุญแจสู่ความสำเร็จอย่างยั่งยืน สำหรับธุรกิจอาหาร เครื่องดื่ม สินค้าอุปโภคบริโภค
ในโลกธุรกิจปัจจุบันที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว จำเป็นต้องผสานองค์ความรู้และเครื่องมือต่างๆ มาปรับใช้ร่วมกัน ทั้งการทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ และหลักการส่งเสริมความยั่งยืนอย่างแนวคิด ESG ตลอดจนความรู้เรื่องเทรนด์ต่างๆ finbiz by ttb ขอนำองค์ความรู้ที่เป็นกุญแจสำคัญจากหลักสูตร LEAN for Sustainable Growth by ttb รุ่นที่ 20 สำหรับอุตสาหกรรมอาหาร เครื่องดื่ม และสินค้าอุปโภคบริโภค มาแบ่งปันกันให้ผู้ประกอบการนำไปปรับใช้กับธุรกิจ เพื่อยกระดับการทำงาน ลดต้นทุน เพิ่มประสิทธิภาพ และเปิดโอกาสใหม่ได้ก่อนใคร
1. คว้าโอกาสจากเทรนด์ Future Food
อาหารแห่งอนาคต หรือ “Future Food” เป็นแนวโน้มสำคัญที่ผู้ประกอบการควรจับตามอง เพราะสะท้อนความต้องการใหม่ของผู้บริโภค โดยมี 10 เทรนด์อาหารที่น่าสนใจ ดังนี้ 1) วัตถุดิบดี คือต้องเกินมาตรฐาน 2) สุขภาพตรงจุดโภชนาการเฉพาะบุคคล 3) รสชาติหลุดกรอบ สร้างสรรค์ไม่จำเจ 4) ดูแลลำไส้ สุขภาพดีเริ่มที่ระบบ 5) โปรตีนจากพืช กระแสใส่ใจธรรมชาติ 6) อาหารสายยั่งยืน ปรับตัวเพื่อโลก 7) อาหารสายสวยจากภายใน กินดี ผิวดี มีสุขภาพ 8) อาหารท้องถิ่น พลิกโฉมด้วยการเพิ่มไอเดีย 9) อาหารช่วยปรับอารมณ์ เสริมสุขภาพจิต และ 10) ปัญญาประดิษฐ์ เทคโนโลยีเปลี่ยนโลกการกิน
2. ธุรกิจแกร่งกว่าเดิมด้วย Green Supply Chain Management
• Green = Lean การบริหารจัดการ Green Supply Chain เป็นแนวทางสำคัญที่ช่วยให้ธุรกิจเติบโตควบคู่กับการรักษ์โลก โดยยึดหลัก “Green = Lean” หรือ “ลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม = ลดต้นทุน” และเริ่มจากแนวคิดเล็ก ๆ ที่มีความหมาย คือ การมองหาสาเหตุของปัญหาเล็กๆ ในกระบวนการทำงาน แล้วค่อยๆ ปรับปรุงให้ดีขึ้น
• เปิดใจที่จะเปลี่ยนแปลง โดยเฉพาะในองค์กรที่คุ้นชินกับวิธีเดิมๆ พนักงานต้องได้รับการปลูกฝังให้ค้นหาสาเหตุที่แท้จริง และไม่หยุดอยู่แค่ความสำเร็จเดิม ตั้งคำถามว่าองค์กรสามารถทำได้ดีกว่านี้อีกหรือไม่และปลูกฝังให้เป็นวัฒนธรรมองค์กร ซึ่งช่วยกระตุ้นให้เกิดการ “ลด-เลิก-เปลี่ยน” พฤติกรรมในองค์กร
• สร้างความยั่งยืนระยะยาว บริหาร Green Supply Chain โดยเปลี่ยนผ่านสู่ธุรกิจรักษ์โลกโดยไม่ต้องใช้งบประมาณก้อนใหญ่ แต่เน้นการปรับปรุงกระบวนการ อาจเริ่มจากการเปลี่ยนพฤติกรรมพนักงานผ่านกิจกรรมเล็กๆ ก่อน เช่น การฝึกจดบันทึกเวลาคัดแยกขยะแต่ละประเภท ที่สำคัญควรใช้ข้อมูลให้เกิดประโยชน์ เช่น ใช้ข้อมูลในการวางแผนสั่งซื้อวัตถุดิบ ติดตามการใช้พลังงาน และคำนวณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกตามข้อกำหนด
• ตั้งเป้าหมาย Green Supply Chain เป็นการตั้งเป้าหมายที่ไม่ได้ทำเพื่อสังคมและรักษ์สิ่งแวดล้อมอย่างเดียว แต่ทำให้ธุรกิจแข็งแกร่งขึ้นด้วย ทั้งนี้ พนักงานที่อยู่หน้างานมีบทบาทสำคัญในการสังเกตและเสนอแนะวิธีการบริหารจัดการที่ลดต้นทุนและเพิ่มความยั่งยืน
3. AI กุญแจสู่ Productivity ยุคใหม่
• AI เข้ามาอยู่กับทุกอุตสาหกรรม ผู้ที่อยู่รอดและโดดเด่นคือผู้ที่ใช้ AI ได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยต้องมี 3 ทักษะสำคัญ ได้แก่ Future Soft Skill, AI & Digital Skill, และที่สำคัญที่สุดคือ Specialist Skill หรือ Insight Skill ซึ่งเป็นความเชี่ยวชาญเฉพาะตัวในการสั่งงานและตรวจสอบ AI
• AI ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพมหาศาล เช่น ลดเวลาทำงาน เพิ่มไอเดีย และเตรียมงานได้เร็วขึ้น อย่างไรก็ตาม AI เป็นเพียง “น้องฝึกงาน” ที่ช่วยให้ทำงานเร็วขึ้น สิ่งสำคัญคือ คนยังต้องเป็นผู้ตรวจสอบความถูกต้องและรับผิดชอบทั้งหมด เพราะ AI มีข้อจำกัด เช่น อาจผิดพลาดหรือข้อมูลรั่วไหลได้
• AI ในอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่ม มีกรณีศึกษาที่ใช้ AI พยากรณ์ความต้องการสินค้าได้แม่นยำ 95% ช่วยลดสต็อก 20% และเพิ่มโอกาสขายสินค้า 10% หรือตัวอย่างแพลตฟอร์มอาหารเดลิเวอรี่ที่ใช้ AI สร้างประสบการณ์เฉพาะบุคคล แนะนำเมนูและโปรโมชันเพื่อช่วยเพิ่มยอดสั่งซื้อ
• องค์กรต้องผสาน Human + AI องค์กรต้องทำให้ AI เป็นส่วนหนึ่งของ Process & Workflow ของธุรกิจ ทั้งนี้ ควรตั้งเป้าพัฒนาทุกแผนกให้ใช้ AI อย่างน้อยในระดับที่ให้ AI เป็นผู้ช่วย AI Assistance ที่ใช้ AI ช่วยงานทั่วไป เช่น คิดงาน วางกลยุทธ์ และเสนอไอเดีย โดยเข้าใจการทำงานแบบผสาน “Human + AI” เพื่อตัดสินใจได้เร็วขึ้น มีข้อมูลมากขึ้น และทำงานได้อย่างเร็วขึ้น เพื่อสร้างความได้เปรียบในการแข่งขันที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว
4. ESG เข็มทิศธุรกิจสู่ความยั่งยืน
• ผู้นำต้องมุ่งมั่น ในยุคที่ธุรกิจต้องเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว “ESG” (Environmental, Social, Governance) เป็นกลยุทธ์สำคัญที่ต้องบูรณาการเข้ากับการดำเนินงานหลัก เพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืนและสร้างคุณค่าระยะยาว ทั้งนี้ การขับเคลื่อน ESG ต้องเริ่มจากวิสัยทัศน์และความมุ่งมั่นของผู้บริหารระดับสูง (Tone at the Top) ซึ่งจะส่งผลต่อการจัดวางบุคลากร โครงสร้างองค์กร และทิศทางการทำงานให้เป็นไปในทางเดียวกัน
• เลือกประเด็นสำคัญที่ใช่ ควรเลือกประเด็น ESG ที่สำคัญต่อธุรกิจจริงๆ โดยพิจารณาจากความคาดหวังของผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย และผลกระทบทางการเงินขององค์กร เพื่อผูกแนวคิด ESG เข้ากับกลยุทธ์หลัก เช่น อุตสาหกรรมอาหารอาจเน้นบรรจุภัณฑ์และสุขภาพผู้บริโภค ซึ่งจะช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน
• แปลงทุกอย่างเป็นตัวเลข วิเคราะห์โอกาสและความเสี่ยงให้เป็นตัวเลขทางการเงิน เพื่อแสดงให้เห็นถึงผลตอบแทนจากการลงทุน เช่น ลดค่าไฟ ประหยัดภาษี และค่าเสียโอกาสหากไม่ปรับตัว การมอง ESG เป็น “การลงทุน” จะช่วยเปิดประตูสู่โอกาสใหม่ๆ ได้
• เริ่มจากสิ่งที่ทำได้ก่อน ไม่จำเป็นต้องเริ่มโครงการใหญ่ แต่ให้ค่อยๆ เริ่มจากสิ่งที่ทำได้ โดยใช้ความแข็งแกร่งและทรัพยากรขององค์กร เช่น องค์ความรู้มากกว่าการบริจาคเงิน ที่สำคัญควรขยายแนวคิด ESG สู่คู่ค้าตลอดทั้งซัพพลายเชน เพราะ ESG ไม่ใช่การทำคนเดียว แต่เป็นการสร้างความร่วมมือ
• ใช้ข้อมูลและเครื่องมือสนับสนุน การทำ ESG ต้องอาศัยข้อมูลที่แม่นยำและเป็นระบบ เพื่อตั้งเป้าหมาย วัดผล รายงานความคืบหน้า และทบทวนอย่างสม่ำเสมอ จึงควรใช้เทคโนโลยี การวิจัยและพัฒนา (R&D) และอ้างอิงมาตรฐานภายนอก เช่น SET Sustainability Reporting Guidelines มาช่วย
และทั้งหมดนี้ คือ กุญแจสำคัญที่สามารถเชื่อมโยงและนำไปประยุกต์ใช้ได้จริง เพื่อสร้างประโยชน์สูงสุดให้กับธุรกิจ มุ่งสู่ความสำเร็จและเติบโตอย่างยั่งยืน