พัฒนายาไข้เลือดออกนวัตกรรมใหม่ ราคาจับต้องได้ เพื่อผู้ป่วยในประเทศรายได้ต่ำและปานกลาง ความร่วมมือระหว่าง สถาบันเซรุ่มแห่งอินเดีย และองค์กรองค์กรวิจัยทางการแพทย์ไม่แสวงผลกำไร DNDi

30
0
Share:

สถาบันเซรุ่มแห่งอินเดีย (Serum Institute of India) ผู้ผลิตวัคซีนรายใหญ่ที่สุดของโลก และองค์กรวิจัยทางการแพทย์ไม่แสวงผลกำไร Drugs for Neglected Diseases initiative (DNDi) ได้ลงนามในบันทึกความเข้าใจ เพื่อร่วมกันพัฒนาและผลิตยาโมโนโคลนอลแอนติบอดีสำหรับการรักษาโรคไข้เลือดออก ที่มีราคาย่อมเยาว์ และสามารถเข้าถึงได้ในประเทศที่มีรายได้น้อยและปานกลาง

 

 

ทั้งสององค์กรจะจัดทำแผนปฏิบัติงานร่วมกัน เพื่อดำเนินการวิจัย พัฒนา ทำการศึกษาวิจัยในมนุษย์ระยะที่ 3 และ ส่งเสริมให้มีการเข้าถึงการรักษา รวมถึงวางแผนกลยุทธ์ในการระดมทุนและทรัพยากร และหากผลการศึกษายืนยันว่าปลอดภัยและได้ผล จะมีการผลักดันให้ได้รับการขึ้นทะเบียนและนำไปใช้ในอินเดียและประเทศที่มีการระบาดของไข้เลือดออกอื่นๆ ต่อไป

“ไข้เลือดออกเป็นโรคที่แพร่ระบาดได้อย่างรวดเร็ว และอ่อนไหวต่อสภาพภูมิอากาศ ซึ่งขณะนี้ยังไม่มียารักษาโดยเฉพาะ เราภูมิใจที่ได้ร่วมมือกับสถาบันเซรุ่มแห่งอินเดียในการพัฒนายาที่มีประสิทธิภาพและเข้าถึงได้ง่าย ความร่วมมือครั้งนี้มีความสำคัญอย่างยิ่ง เพราะจะทำให้ผู้ที่มีความเสี่ยงโดยเฉพาะในประเทศที่มีโรคระบาด สามารถเข้าถึงการรักษาได้อย่างเท่าเทียมและทันเวลา” นพ.อังเดร ซิเกร่า หัวหน้าทีมโรคไข้เลือดออกขององค์กร DNDi กล่าว

“ความร่วมมือครั้งนี้กับ DNDi จะมีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนการพัฒนายาแอนติบอดีโมโนโคลนอลสำหรับโรคไข้เลือดออกในบราซิล และอาจรวมถึงประเทศอื่นๆ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่มีการระบาดของโรค โดยมุ่งเน้นให้การรักษาเข้าถึงได้ในราคาที่เหมาะสม” นพ. ปราสาด กุลกรณี กรรมการบริหาร สถาบันเซรุ่มแห่งอินเดีย กล่าว “เราหวังว่าความร่วมมือนี้จะช่วยลดภาระจากโรคไข้เลือดออกและช่วยชีวิตผู้คนในชุมชนที่เปราะบางได้อย่างแท้จริง”

สถาบันเซรุ่มฯ ได้ดำเนินการทดลองทางคลีนิกในระยะเริ่มต้น ผลปรากฏว่าสารต้นแบบ (ชื่อเดิม VIS513) มีความปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ ปัจจุบัน กำลังดำเนินการทดลองการศึกษาวิจัยในมนุษย์ระยะที่ 3 ซึ่งเป็นขั้นตอนสำคัญสำหรับการขึ้นทะเบียนยาในประเทศอินเดีย

ภายใต้ความร่วมมือดังกล่าว องค์กร DNDi จะเป็นผู้นำในการศึกษาวิจัยในมนุษย์ระยะที่ 3 ในประเทศบราซิล และ ประเทศอื่นๆ ทางสถาบันเซรุ่มฯ จะรับผิดชอบด้านการผลิต พัฒนา และจัดหายาแอนติบอดีโมโนโคลนอลสำหรับการทดลอง รวมถึงการกำหนดแนวทางด้านกฎระเบียบ และเป็นผู้รับผิดชอบหลักในการนำผลิตภัณฑ์ออกสู่ตลาดในประเทศอินเดีย

การทำงานร่วมกันของนักวิชาการและผู้เชี่ยวชาญ เพื่อแลกเปลี่ยนองค์ความรู้และข้อมูล ถือเป็นปัจจัยสำคัญยิ่งในการวิจัยเกี่ยวกับโรคไข้เลือดออก ด้วยเหตุนี้เครือข่าย Dengue Alliance จึงได้ก่อตั้งขึ้นในปี พ.ศ. 2565 โดยความร่วมมือของหน่วยงานและสถาบันวิจัยจากประเทศที่ประสบปัญหาการระบาดของโรค โดยมีองค์กร DNDi เป็นหนึ่งในผู้ร่วมก่อตั้ง เครือข่ายนี้มีเป้าหมายเพื่อพัฒนาการรักษาโรคไข้เลือดออก และส่งเสริมการเข้าถึงการรักษาอย่างเท่าเทียมทั่วโลก

รศ. ดร.พญ. ปนิษฎี อวิรุทธ์นันท์ ผู้เชี่ยวชาญด้านไวรัสวิทยาและภูมิคุ้มกันวิทยาของโรคไข้เลือดออก คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล ให้ความเห็นว่า “ความร่วมมือครั้งนี้เป็นก้าวสำคัญที่ตอบโจทย์ช่องว่างด้านการรักษา การพัฒนายาโมโนโคลนอลแอนติบอดีที่ครอบคลุมทั้ง 4 สายพันธุ์ของไวรัสจะช่วยลดอัตราการป่วยรุนแรงและ

เสียชีวิตได้อย่างมีนัยยะสำคัญ โดยเฉพาะในประเทศเขตร้อนที่มีการระบาดสูง นอกจากนี้ การที่ความร่วมมือครอบคลุมประเทศที่แบกรับภาระโรคคล้ายกันอย่างอินเดีย บราซิล และไทย ไม่ได้เป็นเพียงแบบอย่างของการแบ่งปันองค์ความรู้เท่านั้น แต่เป็นกลยุทธ์ทางวิทยาศาสตร์ที่สำคัญอย่างยิ่ง เพราะจะทำให้เราสามารถประเมินประสิทธิภาพของยาต่อเชื้อไวรัสเดงกีที่มีความหลากหลายทางพันธุกรรมในแต่ละพื้นที่ได้โดยตรง รวมถึงศึกษาการตอบสนองของยาในประชากรที่มีพื้นฐานภูมิคุ้มกันต่างกัน ข้อมูลเชิงประจักษ์ที่ได้จากพื้นที่จริงเหล่านี้ จะเป็นกุญแจสำคัญที่ช่วยเร่งรัดการขึ้นทะเบียนยา และทำให้คนไทยและผู้ป่วยในประเทศรายได้ปานกลางอื่นๆ เข้าถึงการรักษาที่จำเป็นนี้ได้เร็วขึ้นอย่างแท้จริง”

ปัจจุบัน มีประชากรกว่า 3.9 พันล้านคนทั่วโลกที่เสี่ยงต่อการติดเชื้อไข้เลือดออก และจำนวนผู้ป่วยเพิ่มขึ้นมากกว่าสองเท่าตั้งแต่ปี พ.ศ.2564 การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและการขยายตัวของเมืองทำให้โรคแพร่กระจายไปยังพื้นที่ที่ไม่เคยระบาดมาก่อน และยังไม่มีวิธีการรักษาเฉพาะโรค การพัฒนายาที่สามารถป้องกันไม่ให้เกิดอาการรุนแรง จึงมีบทบาทสำคัญในการลดอัตราการเสียชีวิต และป้องกันไม่ให้โรงพยาบาลมีภาระเกินขีดความสามารถในช่วงการระบาด

Share: