แสงแรกที่มองไม่เห็น แต่รู้สึกได้ ละครเวทีปิดตาครั้งแรก ฉลอง 86 ปี มูลนิธิช่วยคนตาบอดแห่งประเทศไทย
บนเวทีที่แสงไฟกำลังจะดับลง เสียงหัวเราะ เสียงกลอง และเสียงซ้อมสุดท้ายของทีมงานค่อยๆ หยุดชะงัก นั่นไม่ใช่สัญญาณของการจบการแสดง แต่คือการเริ่มต้นของ “แสงแรก”
“แสงแรก” ไม่ใช่แค่ละครเวทีทั่วไป หากเป็นการแสดงที่ผู้ชมต้อง “ดู” โดยไม่ใช้สายตา แต่สัมผัสผ่านกลิ่น เสียง การสั่นสะเทือน และอารมณ์ร่วมผ่านจินตนาการ เพื่อพาผู้ชมเข้าสู่ โลกของผู้พิการทางการเห็น ละครเรื่องนี้ถ่ายทอดโดยนักแสดงพิเศษ ผู้พิการทางการเห็น ซึ่งหลายคนไม่เคยมีโอกาสยืนบนเวทีใหญ่เช่นนี้มาก่อน
เรื่องราวของ “แสงแรก” เล่าถึงการเดินทางของผู้พิการทางการเห็นคนหนึ่งที่มีความฝันอยากเห็นแสงแรกของวัน ณ ผาชนะได สถานที่ที่ขึ้นชื่อว่าสวยที่สุดยามพระอาทิตย์ขึ้น เขาหวังว่าหากได้เห็นแสงนั้น อาจมีปาฏิหาริย์ที่ช่วยให้เขากลับมามองเห็นได้อีกครั้ง การเดินทางครั้งนี้ เขามี “พี่” ผู้มีสายตาดีคอยจูงมือ พาไปเผชิญอุปสรรคระหว่างทาง สุดท้ายแม้เขาจะไม่ได้เห็นแสงตามที่หวัง แต่เขากลับค้นพบว่า ความงดงามของชีวิต ไม่ได้อยู่ที่ว่าเรามองเห็นหรือไม่ หากแต่อยู่ที่ว่าเรายังมีความหวัง มีแรงใจ และมีโอกาสได้ดำเนินชีวิตอย่างมีคุณค่าต่อไป
นางเสาวณี สุวรรณชีพ ประธานกรรมการมูลนิธิช่วยคนตาบอดแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชินูปถัมภ์ กล่าวว่า “ตลอด 86 ปีที่ผ่านมา มูลนิธิช่วยคนตาบอดแห่งประเทศไทยฯ มุ่งมั่นสร้างพื้นที่ให้ผู้พิการทางการเห็นได้แสดงศักยภาพอย่างเต็มที่ ทั้งในด้านการศึกษา อาชีพ และการใช้ชีวิตร่วมในสังคมอย่างมีศักดิ์ศรี และในโอกาสพิเศษครั้งนี้ เราได้นำผลงานของเด็กๆ มาจัดแสดงผ่านละครเวทีเรื่อง ‘แสงแรก’ ซึ่งถือเป็นคำเชิญชวนให้สังคมเปิดใจ และมองเห็นความงดงามอีกด้านของชีวิต แม้จะอยู่ในความมืด แต่ก็ยังเต็มไปด้วยความหวัง ความพยายาม และศรัทธา ผู้พิการทางการเห็นได้พิสูจน์ให้เราเห็นแล้วว่า พรสวรรค์ไม่มีข้อจำกัด และเราหวังว่างานนี้จะเป็นจุดเริ่มต้นของการสนับสนุนจากภาคประชาชนและภาคธุรกิจ เพื่อร่วมกันสร้างสังคมที่เปิดกว้าง และเห็นคุณค่าของทุกชีวิตอย่างแท้จริง
สำหรับการแสดงครั้งนี้ ผู้ชมจะได้เริ่มต้นประสบการณ์ตั้งแต่ห้องประชุม โดยต้องปิดตาตลอดการเดินทางไปยังห้องจัดแสดงบนชั้นสอง เส้นทางจะถูกออกแบบให้คล้ายกับการเดินผ่านอุทยานธรรมชาติ เต็มไปด้วยเสียงนก เสียงลม กลิ่นไม้หอม เสียงฝีเท้า และรายละเอียดเล็กๆ ที่จะทำให้ผู้ชมได้สัมผัสและเข้าใจโลกของผู้พิการทางการเห็นอย่างแท้จริง ผ่านประสาทสัมผัสอื่นแทนการมองเห็น”
ด.ญ.กัญพัชญ์ มุ่งรายกลาง (น้องแตงกวา) ชั้น ป.4 โรงเรียนสอนคนตาบอดกรุงเทพ หนึ่งในนักแสดงละครเวทีแสงแรก กล่าวว่า “หนูได้ยินพี่ๆ ทุกคนปรบมือ มันเป็นพลังของหนู หนูรู้ว่าทุกคนต้องปิดตาชม มันทำให้สะท้อนว่า ปิดตาแต่มีความสุขนะ อยากให้พี่ๆ ติดตามผลงานของพวกเราอีก หนูอยากให้ทุกคนมารู้จักโลกของเรามากขึ้น การแสดงครั้งนี้ไม่ใช่แค่ความสนุก แต่เป็นความหวังของพวกเราที่อยากบอกว่า เราอยู่ในสังคมเดียวกับทุกๆ คนค่ะ”
ด.ญ.นัทมล ยะรังวงค์ (น้องนะซิฮะ) ชั้น ป.5 โรงเรียนเดียวกัน พูดด้วยน้ำเสียงเปี่ยมพลังว่า “หนูรู้สึกตื่นเต้นมากที่ได้แสดงละครในครั้งนี้ เพราะหนูอยากให้คนทั่วไปได้รู้ว่า แม้หนูจะมองไม่เห็น แต่หนูก็มีความฝันและความสามารถเหมือนทุกคน”
โดยละครเวที “แสงแรก” กำกับการแสดงโดยคุณซาน อัศรัญ ศิริสวัสดิ์ ศิลปิน นักพากย์ นักแสดงละครเวที และ Show Director แห่ง Disney & Musical Club Thailand (DMCT) ซึ่งเผยความรู้สึกว่า “ผมดีใจมากที่ได้มาทำงานนี้ ได้เห็นศักยภาพของน้องๆ และรู้สึกเป็นเกียรติที่ได้เป็นกระบอกเสียงเล็กๆ ให้กับสังคมในมุมที่หลายคนอาจไม่เคยมองเห็น”
หนึ่งในผู้เข้าชม ดร.บุรณิน รัตนสมบัติ นายกสมาคมการตลาดแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า “รู้สึกประทับใจมาก ผมชมละครเวทีมามาก แต่ถือเป็นครั้งแรกในรูปแบบละครปิดตา และเป็นประสบการณ์ใหม่จริงๆ ตั้งแต่ต้องปิดตาแล้วเดินเกาะแขนกันเข้าโรงละคร และรับรู้เรื่องราวจากแค่เสียง สัมผัส กลิ่น และจินตนาการ ที่สามารถถ่ายทอดเรื่องราวได้อย่างชัดเจนโดยไม่ต้องใช้ตามอง สิ่งที่ผมประทับใจคือ คำว่า ‘การมองเห็นไม่สำคัญเท่าความเข้าใจในสิ่งที่มองเห็น’ และที่เซอร์ไพรส์คือ นักแสดงเป็นน้องๆ ผู้พิการทางการเห็นที่แสดงได้อย่างน่าชื่นชม ทุกคนเก่งมากและสามารถทลายข้อจำกัดของตนเองด้วยความพยายามและฝึกฝนอย่างแท้จริง”
นอกจากละครเวทีแสงแรก ผู้เข้าร่วมยังจะได้ชมแฟชั่นโชว์และสินค้าฝีมือผู้พิการทางการเห็นที่ทำด้วยหัวใจ มินิคอนเสิร์ตของนักเรียนโรงเรียนสอนคนตาบอด การทดลองลงเสียงเล่านิทาน โชว์เปียโนโดยครูโจ้ โชว์นวดโดยแชมป์โลกผู้พิการทางการเห็น และโชว์จากจิตรกรน้อย รวมถึงโชว์พิเศษจาก DMCT และการประมูลภาพวาดเพื่อการกุศล ปิดท้ายด้วยมื้อค่ำแสนอบอุ่นร่วมกับนักแสดงตัวน้อย
นี่ไม่ใช่แค่งานฉลอง 86 ปี แต่มันคืองานที่บอกสังคมว่า ผู้พิการทางการเห็นไม่ใช่ภาระของใคร พวกเขามีความฝัน มีความสามารถ และมีสิทธิ์ที่จะอยู่ในสังคมนี้ได้อย่างยั่งยืน